ตำนานแห่งเอลตอนที่ 3 จะลงตีพิมพ์ในเวปไซต์นี้วันที่ 30 เมษายน 2550 ครับ

มหากาพย์เรื่องใหม่ซึ่งผสมผสานไปด้วยกลิ่นอายของดินแดนมหัศจรรย์ นำมาร้อยเรียงเป็นถ้อยคำบรรยายด้วยภาษาเชิงกำลังภายใน ตีพิมพ์ลงเป็นบทความในอินเตอร์เนตให้อ่านพรีวิวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2550

Legend of El, Episode I, Chapter III

ภาควิกฤตก่อกำเนิด
ตอนที่ 3 หญ้าสะท้อนจันทร์
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226

ลูท โรซาไลน์และกอร์ดอนรุดมายังห้องรักษาพยายาลที่อยู่ด้านข้าง พบเห็นบลูนอนหลับอยู่บนเตียง ฟังจากเสียงลมหายใจดูเหมือนคนนอนหลับตามปกติ จึงไม่ทราบว่าอาการทรุดหนักลงได้อย่างไร

ลูทถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านหมอ อาการของบลูเป็นอย่างไรบ้าง”

แพทย์ชราละสายตาจากบลูมองมาที่ลูทส่ายหน้าคราหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก เพียงแต่อาการของพ่อหนุ่มคนนี้แปลกประหลาดนัก”

ลูทถามต่อไปว่า “ผิดปกติอย่างไร ข้าเห็นเขาก็นอนหลับเป็นปกติไม่มีบาดแผลอันใด”

แพทย์วีกล่าวว่า “ภายนอกของเขาไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรหรอก แต่สิ่งที่ผิดปกติมันอยู่ภายในต่างหาก เอลภายในร่ายกายของเขามีแหล่งกำเนิดอยู่ถึงสี่แห่ง แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีเพียงแห่งเดียว ข้าตรวจสอบพบว่าเนื่องจากเขาฝืนใช้เอลมากเกินไป ขั้นตอนก่อกำเนิดของเอลที่ทำงานในเวลาที่คนเราพักผ่อนทำงานไม่ทัน วงจรการสร้างเอลใหม่ขึ้นมาเพื่อชดเชยเอลที่ถูกใช้ ไม่สามารถฟื้นฟูเอลทั้งสี่แห่งได้พร้อมกันทั้งหมด ในจุดนี้ถ้าหากเป็นคนปกติธรรมดา เพียงนอนสลบไสลไปวันสองวันก็จะตื่นขึ้นมาเอง พร้อมกับกำลังวังชาที่เต็มเปี่ยม แต่สำหรับพ่อหนุ่มคนนี้ เขามีต้นกำเนิดของเอลมากกว่าคนปกติถึงสี่เท่า ถึงแม้ว่าเขาสามารถก่อกำเนิดเอลใหม่เข้าทดแทนเอลเก่าที่หายไปได้ดีกว่าคนปกติถึงสองเท่ามันก็ยังไม่เพียงพอ ข้าเกรงว่าจุดกำเนิดของเอลอีกสองแห่งเมื่อฟื้นฟูไม่ทันจะไม่ฟื้นฟูขึ้นมาอีก หรือเป็นไปได้ถึงขนาดที่จุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ยังใช้การไม่ได้ถ่วงการทำงานของจุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ใช้การได้ ทำให้ระบบโดยรวมล้มเหลวกันไปทั้งหมด กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือมีโอกาสที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถใช้เอลได้ตามปกติ หรืออย่างโชคดีที่สุดอาจจะใช้ได้ แต่ได้ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือแค่กึ่งหนึ่งของยามก่อนหน้านี้”

ลูทตกใจกับเรื่องที่หมอวีกล่าวเป็นอย่างมาก บลูเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา ในช่วงที่ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ดาธด้วยกันทำให้เขาทราบดีว่าบลูหลงใหลในเรื่องของเอลเป็นที่สุด บลูถึงได้รบเร้าให้อาจารย์ดาธสอนเรื่องเอลกับเขาทุกวี่วัน ส่วนตัวลูทเองแทบจะไม่มีความสนใจทางด้านเอลเลย ถ้าหากบลูสูญเสียความสามารถในการใช้เอลไปกึ่งหนึ่งแล้วเขาเองคงยากจะรับได้

หัวหน้าหมู่บ้านกอร์ดอนถามว่า “ท่านหมอวี มีวิธีอะไรพอจะช่วยได้ไหม”

แพทย์ชราวีตอบว่า “วิธีนั้นมีอยู่หรอกแต่จะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ข้าถึงได้ใช้ให้บีทรีบไปเรียกพวกท่านมา”

ลูทกล่าวแทรกขึ้นว่า “ทำอย่างไรละท่านหมอ ข้าพร้อมจะช่วยเต็มที่”

แพทย์ชราวีกล่าวตอบว่า “ข้ายังกล่าวไม่จบ อย่าพึ่งรีบร้อนไปสิพ่อหนุ่ม”

ลูทนึกในใจ หมออะไรเนี่ยบอกว่าต้องช่วยด้วยความรวดเร็วแล้วบอกให้ข้าไม่รีบร้อน

แพทย์ชราวีกล่าวสืบต่อ “ด้วยพลังการฟื้นฟูที่เหนือกว่าคนธรรมดาอย่างพ่อหนุ่มคนนี้ อย่างน้อยเขาจะไม่มีผลกระทบใดๆในช่วงเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เขาต้องได้รับการช่วยเหลือโดยการกระตุ้นจากภายนอก นั่นก็คือการกระตุ้นด้วยตัวยา ตัวยาจะช่วยเปิดทางให้เอลของเขาอีกสองสายที่หลับไหลอยู่ภายในร่างกายออกมาใช้งานได้สะดวกมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้อัตราการฟื้นคืนตัวของเอลจะเพิ่มพูนทำให้เอลก่อกำเนิดในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมา วิธีปรุงยานั้นข้าเองก็รู้วิธีปรุงอยู่เพียงแต่ขาดส่วนผสมของตัวยาที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ต้นหญ้าสะท้อนจันทร์”

โรซาไลน์กล่าวเสริมว่า “ข้าเคยได้ยินผู้คนในหมู่บ้านเอ่ยปากถึงต้นหญ้าชนิดนี้ รู้สึกว่ามันจะอยู่ในหุบเขาไม้ดอก ใช่ไหมท่านหมอวี”

หมอวีกล่าวตอบว่า “ถูกต้องแล้วหลานเอย ต้นหญ้าต้นนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หุบเขาไม้ดอกทางทิศตะวันออก ห่างจากที่นี่ไปประมาณแปดกิโลเมตร ทางเดินแถบนั้นค่อนข้างจะอันตราย หุบเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของไม้ดอกนานาพันธุ์ รวมถึงต้นน้ำของแม่น้ำเจนีสที่ไหลตัดผ่านตอนปลายหมู่บ้านเรา ถิ่นกำเนิดของแม่น้ำเจนีสที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างเมืองเจนีสเหนือใต้ก็อยู่ที่หุบเข้าไม้ดอกนี่แหละ”

ลูทฟังคำกล่าวของหมอวีแล้วคิดตามอย่างใจจดใจจ่อ พิจารณาว่าหุบเขาไม้ดอกสมควรจะอยู่ตำแหน่งใดในแผนที่ที่เขาพกติดตัวมา เขาปรารถนาจะโบยบินไปปลิดสมุนไพรมาให้เพื่อนเขาเสียที

หมอวีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวต่อไปว่า “หุบเข้าไม้ดอกยังเป็นต้นเหตุของปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง นับเป็นประเด็นที่สำคัญพอๆกับการช่วยเหลือพ่อหนุ่มคนนี้ นั่นคือหุบเขาไม้ดอกเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำพิษ ที่จะสร้างปัญหาให้กับหมู่บ้านเราในเร็ววันเสียด้วย”

กอร์ดอนกล่าวตัดบทว่า “เมื่อครู่ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้ามา ลุงกำลังปรึกษากับท่านหมอวีเรื่องปัญหาน้ำพิษจากหุบเขาไม้ดอกอยู่พอดี ประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง น้ำพิษเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน พิษของมันเจือปนมากับแม่น้ำเจนีสทำให้คนที่ดื่มน้ำเข้าไปเกิดอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลายหมดสติ หัวหน้าหมู่บ้านรุ่นก่อนออกสำรวจตรวจตราจนพบต้นตอของปัญหานี้ เขาพบว่าตัวการของปัญหาคือดอกไม้ประหลาดชนิดหนึ่งในหุบเขาไม้ดอก ดอกไม้ชนิดนี้แผ่ละอองเกสรที่เป็นอันตรายต่อผู้คนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆลงในต้นน้ำ น้ำพิษพวกนี้จะไหลเข้ามารวมกับคลองส่งน้ำของพวกเราทำให้พืชผลเสียหาย น้ำไม่สามารถดื่มกินได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ของหมู่บ้านเราเช่นกัน

ในช่วงนี้ส่วนผสมน้ำพิษยังเบาบางอยู่ไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อคนได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้อีกไม่เกินสามวันให้หลัง ดอกไม้พวกนี้ก็จะเจริญเติบโตเต็มที่ น้ำพิษจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกระทบต่อทั้งคนในหมู่บ้านเราและประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเจนีสทั้งสองเมืองกว่าหลายหมื่นคน เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต”

หมอวีกล่าวต่อว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการกำจัดต้นน้ำพิษ ข้านั้นได้ปรุงน้ำทิพย์ขจัดพิษขึ้นมาสำเร็จแล้วฤทธิ์ของมันสามารถต่อต้านพิษจากดอกไม้พิษสีม่วงได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ให้ใครสักคนหนึ่งลงไปที่ก้นหุบเขาจะเจอแหล่งกำเนิดของต้นน้ำและดอกไม้สีม่วงซึ่งข้าคาดว่าคงมีไม่เกินสามหรือสี่ต้น จากนั้นพรมน้ำทิพย์นี้ลงไปบนดอกไม้พิษสีม่วงที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำพิษ พิษทั้งหลายก็จะถูกขจัดออกไปพวกเราก็จะรอดพ้นจากภัยอันตราย”

ลูทกล่าวตอบโดยไม่ลังเล “ตกลงข้าจะไปนำเอาหญ้าสะท้อนจันทร์ แล้วก็จะจัดการเรื่องต้นน้ำพิษให้กับพวกท่าน” ดวยคุณธรรมประจำใจของเขาถึงไม่มีเรื่องบลูเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็ตกลงใจจะช่วยเรื่องน้ำพิษนี่ให้ถึงที่สุด

หมอวีกล่าวตอบว่า “ขอบใจเจ้ามากพ่อหนุ่มน้อย หญ้าสะท้อนจันทร์อยู่ที่ปากหุบเขา เจ้าเดินเท้าเข้าไปไม่ลึกก็จะพบกับต้นหญ้าเรืองแสงชนิดนี้ แต่น้ำพิษอยู่ที่ส่วนในสุดของหุบเขา ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะกลับมาไม่ทันช่วยเพื่อนของเจ้า ดังนั้นข้าคิดว่าจะให้บีทไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอีกคนหนึ่ง ให้เขาเอาต้นหญ้าสะท้อนจันทร์กลับมาก่อน การช่วยคนต้องทำยิ่งเร็วยิ่งเกิดผลดีและยาของข้าก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรุง ถ้านานไปเกรงว่าอาจจะช่วยเหลือไม่ทัน”

โรซาไลน์กล่าวว่า “ข้าขอไปแทนบีทจะดีกว่าหมอวี เรื่องน้ำพิษเป็นเรื่องรีบด่วนของหมู่บ้านนี้เช่นกัน ข้าในฐานะของหลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านที่อาศัยในหมู่บ้านนี้ ในเมื่อหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ต้องช่วยอย่างสุดความสามารถ”

กอร์ดอนกล่าวว่า “ถ้าหลานโรสไปเองข้าก็วางใจ ให้หลานบีทอยู่ที่นี่ศึกษาวิชาจากท่านหมอ ช่วยดูแลเพื่อนของลูท นี่เป็นนับเป็นโอกาสอันดีที่หลานจะได้ศึกษาวิชาแพทย์ที่ใช้กันจริงๆ รวมทั้งวิธีผสมยาวิเศษที่นานๆจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง”

หมอวีตอบว่า “ถ้าพวกท่านจะเอาอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่ขัดข้องอันใด”

จากนั้นกอร์ดอนก็หันหน้าไปทางโรสและลูทกล่าวสืบต่อว่า “พวกเจ้าทั้งสองต้องระวัง หุบเขาไม้ดอกดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่เมื่อดอกไม้พิษปรากฏขึ้นจะต้องมีสาเหตุะไรบางอย่าง ข้าระแวงว่าสัตว์ร้ายอาจจะปรากฏกายขึ้นได้”

ลูทตอบอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าจะต้องช่วยเพื่อนข้าและหมู่บ้านนี้ให้จงได้ ท่านลุงกอร์ดอนโปรดวางใจ”

โรสกล่าวว่า “ขอเวลาข้าประมาณหนึ่งชั่วโมงเตรียมอุปกรณ์สำหรับไต่หน้าผาและการเดินทาง เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆก็สมควรที่จะพักผ่อนเอาเรี่ยวแรงสักครู่ หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราพบกันที่หน้าหมู่บ้าน”

กอร์ดอนกล่าวว่า “ขอให้อาเรสคุ้มครองเจ้า”

อาเรสเป็นผู้กล้าที่ยุติความขัดแย้งของสงครามระหว่างนอร์ ลาเวนดิสและเอนเซลเมื่อสองร้อยยี่สิบหกปีก่อน เขาสถาปนานครมิสต์อันเป็นดินแดนกลางเชื่อมสามอาณาจักรเข้าด้วยกันขึ้น หลังจากปีนั้นความเจริญต่างๆก็รุดหนึ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้กล้าอาเรสได้รับการยกย่องประหนึ่งเทพเจ้าถึงขนาดกำหนดปีศักราชขึ้นใหม่เรียกว่าอาเรสศักราชซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้

ทั้งสองรับคำคราหนึ่งแล้วจึงอำลาจากไป



ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ปากทางเข้าหมู่บ้าน

ขณะนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษลูทกับโรซาไลน์ก็เตรียมตัวพร้อมสรรพเพื่อออกเดินทางสู่หุบเขาไม้ดอกทั้งสองเดินกันไปพลางสนทนากันไปพลาง

ลูทกล่าวว่า “เราคงจะต้องเดินทางกันอีกประมาณสองชั่วโมงสินะ”

โรสพยักหน้าคราหนึ่งกล่าวว่า “ใช่ หุบเขาไม้ดอกห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกราวแปดกิโลเมตร แต่จากจุดนั้นไปถึงต้นหญ้าสะท้อนจันทร์อาจจะต้องใช้เวลาอีกราวชั่วโมงหนึ่ง”

ลูทถามว่า “เจ้าเคยไปที่นั่นมาก่อนไหม”

โรสพยักหน้าครั้งหนึ่งตอบว่า “เพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าออกติดตามหมอวีและลุงเซลไปตรวจดูพรรณไม้ที่นั่น แต่ข้าก็ยังพอจำเส้นทางได้อยู่บ้าง ภูมิประเทศนั้นเป็นทางแคบๆเพียงให้เดินได้ทีละคน จะต้องเดินเรียงเดี่ยวเกาะขอบหินผาเข้าไปตามทาง ด้านล่างสุดของหุบเขามีดอกไม้นานาชนิดขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งหุบเขา ที่นั่นมีตาน้ำเล็กๆอยู่ตาหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำเจนีส”

ลูทหยิบเอาของชิ้นเล็กๆสองชิ้นจากกระเป๋าสัมภาระของเขาขึ้นมา มันเป็นแท่งแก้วสองแท่ง ภายในแต่ละแท่งมีหินอัญมณีสีแดงสดอยู่ก้อนหนึ่ง ลูทยื่นให้กับโรซาไลน์แท่งหนึ่ง “ของสิ่งนี้ให้เจ้าโปรดนำมันติดตัวไว้”

โรซาไลน์รับแท่งแก้วมามองดูอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า “แท่งแก้วนี้เอาไว้ทำอะไร”

ลูทสาธิตวิธีการใช้ให้กับโรสดูพร้อมกล่าวอธิบายว่า “แท่งแก้วนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อาจารย์ดาธเคยสอนให้ข้า มันมีประโยชน์มากเวลาเดินทางกันสองคน วิธีใช้เจ้าต้องวางกล่องแท่งแก้วนี้นอนราบลงบนฝ่ามือ จากนั้นลองสังเกตดูจะพบว่าพลอยสีแดงในกล่องแก้วทั้งสองจะเลื่อนมาชี้เข้าหากันเสมอ ปลายของแท่งแก้วพวกนี้หมุนได้และจะหมุนไปตามทิศทางของพลอยอีกลูกหนึ่ง เสมือนมีแรงดึงดูดจากพลอยทั้งสองเข้าหากันตลอดเวลา ทำให้พวกเรารู้ที่อยู่ของอีกคนหนึ่ง ถ้าเกิดการพลัดหลงกันระหว่างทาง”

โรซาไลน์พยักหน้ากล่าวว่าเข้าใจแล้วจากนั้นเก็บแท่งแก้วไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง ถามต่อไปว่า “ทำไมพลอยทั้งสองถึงมีแรงดึงดูดเข้าหากันได้ล่ะ”

ลูทตอบว่า “อาจารย์อธิบายให้ข้าฟังว่าพลอยทั้งสองแต่เดิมเป็นเม็ดเดียวกัน ท่านแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วใช้แร่เอลไลท์ทำปฏิกริยากับมันตามทฤษฏีของเอลเทคให้เชื่อมกันใหม่ พลอยแต่ละก้อนจะส่งแรงดึงดูดเข้าหากันเพื่อรวมเป็นเนื้อเดียวอีกครั้ง ระหว่างที่มันกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ให้นำพลอยทั้งสองใส่ลงไปในแท่งแก้วพิเศษสองแท่งนี้ แรงดึงดูดที่มีออกมาจะคงอยู่เสมอไป ด้วยเหตุนี้พลอยทั้งสองหันหน้าเข้าหากันตลอดเวลา”

จนบัดนี้โรสถึงเข้าใจว่าลูทเองก็เป็นคนที่มีความสามารถทางด้านสิ่งประดิษฐ์คนหนึ่ง ตัวเธอเองมิได้ต้องการคำตอบที่ลึกซึ้งเท่าไร แค่เกิดความอยากรู้เมื่อเห็นพลอยที่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่พอลูทตอบได้อย่างละเอียดถี่ยิบราวกับสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง เธอจึงต้องประเมิณคุณค่าลูทใหม่

พอลูทอธิบายจบจึงถามโรสกลับไปว่า “แล้วเจ้าเรียนวิชาอะไรจากอาจารย์ดาธ”

โรซาไลน์ตอบว่า “เมื่อแปดปีก่อนข้าเรียนเอลที่ห้าจากท่านอาจารย์ เจ้ารู้จักวิธีใช้เอลใช่ไหม”

ลูทกล่าวอย่างตกใจว่า “แปดปีเชียวหรือตอนนั้นเจ้าก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเองสิ” จากนั้นตอบโรสไปว่า “ไม่หรอกข้าใช้เอลไม่เป็น ว่าแต่เอลที่ห้าคืออะไร ข้าไม่เห็นบลูเคยใช้สักครั้ง”

โรสตอบว่า “เอลที่ห้าคือเอลที่ประสานพลังงานของแสงสว่างออกมาใช้งาน”

ลูทถามต่อด้วยความสงสัยว่า “แล้วมีประโยชน์อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง ถ้าให้ข้าเดาก็คงเป็นการฉายแสงสว่างในที่มืดนอกจากนั้นมีอีกไหม”

โรสตอบว่า “เอลที่ห้าที่ข้าร่ำเรียนมานั้นยังอยู่ในวงจำกัด ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกเอลที่ห้าช่วยให้แสงสว่างในที่มืดได้ ข้าสามารถใช้มันรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้อีกอย่างหนึ่ง ทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น โลหิตหยุดหลั่งไหล อาการฟกช้ำดำเขียวหายไป”

ลูทกล่าวชมเชยว่า “ท่าทางจะมีประโยชน์ไม่น้อย หวังว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บถึงขนาดให้เจ้าช่วยรักษา”



หุบเขาไม้ดอกเป็นสถานที่ที่มีไม้ดอกนานาพันธุ์สมชื่อ ขนาดในยามวิกาลยังมีกลิ่นหอมจางๆล่องลอยออกมาจากสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

จากปากทางเข้าไปจนถึงด้านล่างของหุบเขาเป็นทางลาดชันลงไปเรื่อยๆ ผู้ที่เดินไม่ระวังอาจจะพลัดตกลงไปได้และแน่นอนโอกาสรอดชีวิตนั้นเลือนรางยิ่ง พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินราวครึ่งชั่วโมงตั้งแต่จากปากทางเข้าถึงที่จุดนี้ พวกเขาไม่สามารถเดินด้วยความเร็วเต็มที่เพราะทางนั้นทั้งแคบและอันตรายทำให้ต้องใช้เวลามากกว่าการเดินปกติ

โรซาไลน์ที่เดินอยู่ด้านหลังชี้ให้ลูทมองไปตามมือของเธอ กล่าวว่า “สถานที่นั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของหญ้าสะท้อนจันทร์”

ลูทมองตามไปเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมาจากทางด้านนั้นอยู่ลิบตาจริงอย่างที่โรสกล่าว จึงกล่าวตอบว่า “อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึง”

โรสตอบว่า “ไม่ไกลเท่าไรหรอกแต่ปัญหาอยู่ที่ความเร็วในการเดิน เมื่อเราเดินลึกลงไปเรื่อยๆ เงาไม้จะบดบังแสงจันทร์ทำให้เรามองไม่เห็นทาง เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จากจุดนี้คงจะใช้เวลาเดินเกือบครึ่งชั่วโมง”

ลูทพยักหน้ารับคำ คนทั้งสองถือชุดไฟกันคนละหนึ่งชุดเพื่อส่องแสงสว่างในที่มืด ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการค่อยๆเดินต่อไป ทุกย่างก้าวจะต้องผ่านการไตร่ตรองก่อนถึงจะก้าวขาทิ้งน้ำหนักลงไป ลูทได้ยินเสียงก้อนหินร่วงหล่นกระทบหน้าผาดังเป็นระยะๆ เขาต้องทำเป็นไม่สนใจเสียงพวกนั้นเพื่อมิให้มองลงไปยังด้านล่าง ขาทั้งสองข้างเดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

แสงจันทร์สลัวส่องลงมากระทบวงพักตร์ของโรซาไลน์ เกิดความรู้สึกอันสวยซึ้งจับต้องไม่ได้อย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะสวมใส่ชุดรัดกุมสีดำเพื่อความคล่องตัวและกลมกลืนกับความมืด เมื่อตัดกับเส้นผมที่เป็นสีทองอร่ามผสมผสานกับกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนซึ่งโชยอยู่ริมจมูก ช่วยขับให้ภาพลักษณ์ของนางในยามราตรีให้งดงามยิ่งขึ้น

ทั้งสองหยุดลงด้วยทางเบื้องหน้าอันเป็นช่องเขาที่ทั้งแคบและลึกเป็นพิเศษ เมื่อข้ามทางแคบนี้ไปได้ แนวต้นหญ้าสะท้อนจันทร์สีเหลืองอร่ามก็จะปรากฏอยู่เบื้องหน้า ลูทใช้ชุดไฟส่องดูพบว่าช่องเขามีความยาวเป็นระยะทางกว่าห้าเมตรกว้างเพียงฝ่าเท้าของคนๆหนึ่ง เขาคิดในใจว่าดูท่าจะรับน้ำหนักไม่ได้มากเพียงจะให้เดินข้ามไปได้ทีละคนเท่านั้น ลูทยกนาฬิกาอันเดิมที่ผูกไว้กับเข็มขัดขึ้นมาดูพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเขาใช้เวลาไปราวสี่ชั่วโมงเศษนับตั้งแต่ออกเดินทางมาจากหมู่บ้านเงาจันทร์ ถ้าหากข้ามช่องแคบนี้ไปเขาก็จะได้ตัวยากลับไปรักษาบลู รวมเวลาไปกลับอย่างมากก็คงจะไม่เกินเก้าชั่วโมงบลูคงจะปลอดภัยไร้อันตราย

ลูทใช้มือซ้ายโบกให้โรซาไลน์หยุดรอสักพัก ตนเองใช้มือขวาถือชุดไฟเดินข้ามช่องแคบไปอย่างระมัดระวัง เมื่อลูทเดินไปได้สามก้าวก็เกิดเสียงก้อนหินดักแกร๊กขึ้น ลูทรู้สึกถึงรอยร้าวที่ใต้เท้าของเขา เขาจึงก้าวขาไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อลูทก้าวไปสองก้าวก็พบว่าช่องแคบนั้นก็ถล่มลง ประสบการณ์พวกนี้เขาเคยเผชิญมาแล้วในสมัยที่เดินป่ากับพ่อและต้องปีนหน้าผา ระยะทางสองก้าวที่ลูทก้าวไปไม่ได้รีบร้อนเพื่อจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งแต่เป็นการรวมกำลังให้เขากระโดดข้ามช่องเขาไปอีกฟากหนึ่ง

เสียงดังโครมครามสนั่นหุบเขาเมื่อทางเชื่อมระหว่างหุบเขาทั้งสองฟากถล่มลง ส่วนลูทนั้นกระโดดข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย โรซาไลน์ถอยกลับมาด้านหลังสามก้าวเอามือจับหน้าผาด้านข้างทรงตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ถูกแรงสั่นสะเทือนผลักร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง

ต่อมาเมื่อเสียงสั่นสะเทือนสงบลง เหตุการณ์กลับสู่ปกติอีกครั้ง แต่คนทั้งสองกลับติดอยู่คนละฟากกัน

ลูทก้มลงเก็บหญ้าสะท้อนจันทร์ขึ้นมาด้วยความดีใจหันกลับไปยังเบื้องหลังตะโกนเรียกโรซาไลน์คราหนึ่ง เขาโยนหญ้าสะท้อนจันทร์ไปพร้อมกับตะโกนให้โรสรับเอาไว้

พอโรสรับต้นหญ้าเรืองแสงนั้นไว้ได้ ลูทจึงตะโกนบอกไปว่า “รบกวนเจ้าเอาหญ้าสะท้อนจันทร์ไปให้ท่านหมอวีทำการปรุงยารักษาบลูก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่สืบหาต้นดอกไม้พิษและจัดการกับมันเอง พอฟ้าสางเจ้าค่อยนำคนมาช่วยข้าพเจ้าจากที่นี่ ข้ารับรองว่าข้าไม่เป็นอะไร”

โรซาไลน์มองดูหญ้าสะท้อนจันทร์ในมือนึกถึงผลได้ผลเสีย เห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่สามารถช่วยลูทได้ เชือกที่ติดตัวมาก็ยาวไม่พอที่จะโยนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมรอบข้างก็ไม่อำนวย ถ้าทำการข้ามฟากด้วยเชือกเส้นเดียวในตอนนี้ อาจมีโอกาสผิดพลาดมากเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน พอคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวตอบไปว่า “ตกลง ข้าจะนำหญ้านี้ไปช่วยบลูเสียก่อน เจ้าจงรับของสิ่งนี้ไว้”

โรสโยนขวดสีเหลืองใบหนึ่งไปให้ลูท กล่าวว่า “ยาในขวดนั่นเป็นยาสมานแผลชั้นเลิศจากท่านหมอวี หากเกิดอะไรขึ้นขอให้เจ้าใช้ยานั่นรักษาตัวไปพลางก่อน ยานี้สามารถดื่มได้เมื่อบอบช้ำภายในหรือทาเมื่อบาดเจ็บภายนอกก็ได้ ข้าจะกลับมาอีกทียามฟ้าสาง ขอให้เจ้าระมัดระวังตัว”

ลูทกล่าวขอบคุณโรสจากนั้นรับคำคราหนึ่งแล้วก็เดินเลาะลัดตามทางเดินหุบเขาหายลับไปในความมืด



ชุดไฟที่ลูทถือเพียงให้แสงสลัวส่องนำทางในความมืดมิดของหุบเขาไม้ดอก

ในที่สุดเขาก็เดินมาจนสุดทางเดินช่วงแรก เบื้องหน้าของเขาเป็นถ้ำอันมืดมิดขอเพียงเดินทะลุถ้ำแห่งนี้ไปก็จะถึงพื้นที่ใต้หุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่ลุงกอร์ดอนระบุว่ามีต้นดอกไม้พิษอยู่แถวนั้น

มีเสียงผิดปกติดังขึ้นทางด้านหลัง ด้วยโสตประสาทอันฉับไวของพรานหนุ่มลูทหันหลังกลับไปทันที

เขาพบกับตาของสัตว์ร้ายที่มีสีแดงฉานในความมืดบ่งบอกถึงภยันอันตรายที่กำลังจะคุกคามเขาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า จากการพิเคราะห์นัยน์ตาสัตว์พรานป่าลูทก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นสุนัขป่าอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามันจะเป็นพันธุ์อะไรเท่านั้นเอง

ในบรรดาสุนัขป่าทั้งหลายสุนัขป่าขนดำเป็นสุนัขป่าชนิดที่อันตรายที่สุด เขี้ยวของมันคมกริบถึงขนาดว่าสามารถล้มสัตว์ใหญ่ขนาดวัวได้ภายในการกัดคราเดียว สุนัขป่าชนิดนี้มีจำนวนน้อยและหายากยิ่งแต่ก็ดุร้ายยิ่ง พรานบางคนจะถือว่าการได้พบสุนัขป่าเช่นนี้เปรียบเสมือนเจอขุมทรัพย์เพราะสัตว์ที่หายิ่งยากก็จะขายได้ราคาสูง แต่บางครั้งพวกเขาก็ต้องไปพบกับพญามัจจุราชแทนที่จะได้เงินก้อนโตกลับบ้านไป

พอลูทกวาดชุดไฟออกไปเบื้องหน้าก็พบเห็นขนที่ดำขลับของมันจนเขาแน่ใจแล้วว่ามันเป็นสุนัขป่าขนดำจริงๆ ลูทจับกระบี่ตั้งมั่นในมือขวากุมชุดไฟในมือซ้ายเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ลูทสังเกตดูพฤติกรรมมันพบว่ามันอาจจะเกรงกลัวชุดไฟมากกว่ากระบี่ของเขา

หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ป่าทั้งสองกำลังรอคอยจังหวะที่จะจู่โจม

ลูทกวัดแกว่งชุดไฟไปเบื้องหน้าสะบัดให้สะเก็ดไฟขนาดเล็กลอยกระเด็นไปยังสุนัขป่ากระตุ้นให้มันเดินหลบ สุนัขป่าขนดำเห็นสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าหา แทนที่จะหลบสุนัขแสนรู้กระโดดสวนเข้ามายังแขนขวาของลูทที่ถือกระบี่ด้วยความเร็วสูง กระบี่ของลูทเสมือนมีนัยน์ตาสะบัดออกไปตามสัญชาตญาณพรานป่า ปลายกระบี่ปาดไปที่คอหอยของสุนัขป่าอย่างแม่นยำ

ลูทเคยเห็นบิดาเขาต่อสู้กับสุนัขป่าขนดำมาก่อน เขาถึงคาดเดาวิธีการต่อสู้ของสุนัขป่าได้อย่างไม่ยากเย็น เขาล่อให้มันจู่โจมเข้ามาก่อนเพื่อที่จะใช้กระบี่สวนกลับเข้าจุดตายของมัน

ฉัวะ!

กระบี่ของลูทแทงเข้าที่ลำคอของสุนัขป่าขนดำอย่างเต็มแรง แทนที่เขาจะดีใจเขากลับตะลึงเสียเอง มันเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ขนของมันทั้งเหนียวทั้งหนาและหยาบถึงขนาดที่ทนคมกระบี่เหล็กได้ ลูทสะท้านขึ้นมาในใจฉุกคิดว่านี่มันไม่ใช่สุนัขป่าขนดำธรรมดาอย่างแน่นอน คราก่อนพ่อของเขาสยบสุนัขป่าขนดำได้ด้วยกระบี่ชนิดเดียวกันนี้ซึ่งเขาเห็นมากับตา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีวิชากระบี่เทียบเท่ากับพ่อของเขาแต่รับรองได้ว่าความคมของกระบี่นี้ต้องทำอันตรายมันได้มากกว่านี้ มิใช่เพียงฝากรอยแดงเป็นริ้วดังเช่นโดนเหล็กทื่อๆตีใส่เท่านั้น

สุนัขป่าตะกายเข้าใส่ลูทอีกครั้ง สัตว์แสนรู้ฉวยโอกาสจังหวะที่ลูทความประหลาดใจในเกราะขนดำของมัน เล็บของมันเตรียมตะปบเข้าใส่ที่แขนซ้ายของลูทส่วนเขี้ยวของมันเตรียมจะปักเข้าที่หัวไหล่ของเป้าหมาย ลูทอันยอดเยี่ยมสามารถหลบฉากออกด้านข้างก่อนที่มันจะเข้ามาประชิดตัว ถึงแม้ว่าเขาจะหลบได้อย่างรวดเร็วแล้วแต่ก็ยังไม่พ้นจากการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ เล็บของสุนัขป่าขนดำสะกิดเข้าที่แขน แค่เพียงสะกิดก็ทำให้แขนเสื้อของเขาฉีกขาดเกิด เป็นรอยโลหิตจางๆขึ้นที่แขนขวาราวกับถูกมีดอันคมกริบปาดใส่

ลูทฟันกระบี่ออกไปอีกสามครั้งต่อเนื่องกันเล็งไปที่ศีรษะขาหน้าและบริเวณลำตัว สุนัขป่ากลับไม่กลัวคมกระบี่เช่นนี้อีกต่อไป มันกระโจนสวนเข้าใส่ลูททันที คมกระบี่ฟันถูกขาหน้ากับส่วนลำตัวมันแต่ผลก็เป็นเช่นเดิม ทั้งสองกระบี่ได้แค่ฝากริ้วรอยเล็กน้อยเอาไว้

ลูทเห็นสภาวะการณ์เบื้องหน้าเริ่มคับขันเขาจึงใช้คบไฟจี้เข้าไปที่สุนัขป่าแทนกระบี่ สุนัขป่าขนดำอย่างไรก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมันก็กลัวเปลวไฟเหมือนสัตว์ป่าอื่นๆ มันตื่นตกใจหลีกไปด้านข้างทำให้ลูทรอดพ้นการจู่โจมของมันไปอีกคราหนึ่ง

แต่แล้วลูทเกิดอาการมึนศีรษะขึ้นมา แขนขวาที่ถือกระบี่เริ่มชาด้าน

เขาถูกพิษเสียแน่แล้ว พิษจากเล็บของสุนัขป่า

เขาประติดประต่อเรื่องราว คาดเดาเหตุการณ์ได้ด้วยความมั่นใจแปดส่วนว่าสุนัขป่าขนดำตัวนี้ต้องดื่มน้ำพิษหรือไม่ก็กินดอกไม้พิษไปอย่างแน่นอน แขนของเขาถึงได้ถูกพิษเช่นนี้และตัวมันถึงได้ทนความคมของกระบี่เขาได้ขนาดนี้ ดอกไม้พิษนั้นต้องมีฤทธิ์พิเศษทำให้มันบ้าคลั่งและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับทุกๆครั้งที่เขาขยับตัวลูทรู้สึกถึงการแพร่กระจายของพิษออกไปกว้างกว่าเดิม สุนัขป่าแสนรู้ที่กลัวเพลิงตัวนี้เหมือนจะรู้ว่าถ้ามันเพียงแต่คุมเชิงอยู่ด้านหน้า ชุดไฟในมือของลูทก็ไม่สามารถทำอย่างไรกับมันได้ พิษจากเล็บของมันจะแทรกเข้าไปในตัวลูททำให้เขาล้มลงในที่สุด

หากสุนัขป่านิ่งเฉยเรี่ยวแรงของเขาจะลดลงเรื่อยๆจนหมดไป เขาคิดหาทางตอบโต้มันจนเกิดเป็นอุบายขึ้นมาแผนหนึ่ง ลูทวางแผนเป็นมั่นเหมาะตกลงตัดสินใจเสี่ยงคราหนึ่ง เขาเปลี่ยนเป็นถือชุดเพลิงด้วยมือขวาที่ถูกพิษแล้วใช้มือซ้ายถือกระบี่แทน จากนั้นพอได้จังหวะเขาก็แกล้งทำชุดเพลิงในมือขวาตกลงสู่พื้น ลูทมั่นใจว่ามันไม่เกรงกระบี่ในมือซ้ายของเขาเพียงแต่เกรงกลัวชุดไฟอย่างเดียว ถ้ามันเห็นเขาทำชุดไฟตกลงพื้นเช่นนี้มันจะต้องจู่โจมเข้ามาอย่างแน่นอน

สุนัขป่าไม่เข้าใจกับแผนที่ลูทวางเอาไว้ มันเป็นโอกาสอันดีที่จะจู่โจมปลิดปลงศัตรู จึงกระโจนเข้าหาตัวลูทหมายจะขย้ำคอให้จงได้ ลูทฝืนใจรวบรวมเรี่ยวแรงที่หลงเหลือใช้กระบี่ในมือซ้ายแทงออกไปอย่างสุดแรง กระบี่นี้คงจะเป็นกระบี่สุดท้าย เขาทุ่มเดิมพันไปสุดตัวก็เพื่อกระบี่นี้เพียงกระบี่เดียว

ผลปรากฏว่าปลายกระบี่ของลูทแทงออกทะลุไปทางยังหางของสุนัขป่า แขนซ้ายของลูทที่ถือกระบี่แทงทะลวงไปที่ปากของมัน เป็นอย่างที่ลูทคาดเอาไว้จริง อวัยวะภายในของสุนัขป่าไม่ได้มีแข็งแกร่งคงกระพันด้วยขนหนาดั่งเช่นภายนอก เขาใช้ทั้งปัญญา กำลังขวัญและเรี่ยวแรงทั้งหมดเอาชัยสุนัขป่าตัวนี้ได้สำเร็จแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยแผลฉกรรจ์ที่แขนซ้ายและพิษที่เริ่มลุกลามไปทั่วตัวทำให้เขามึนงงแทบหมดสติ

ในที่สุดลูทก็ทรุดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า



โรซาไลน์เดินออกไปถึงปากทางหุบเขาไม้ดอก พลันได้ยินเสียงผิดปกติคราหนึ่ง จากนั้นเธอก็เห็นเงาทะมึนที่มีดวงตาสีแดงสาดส่องกระโจนเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว

สุนัขป่าขนดำนั่นเอง ด้วยความที่โรสเป็นคนท้องถิ่นจึงคาดการณ์ได้หลายส่วนว่าเจ้าสัตว์ขนดำชนิดนี้จะต้องวนเวียนอยู่แถวนี้ คอยดักซุ่มทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่พลัดหลงเข้ามา เพียงแต่เธอยังไม่ทราบว่ามันได้รับผลจากดอกไม้พิษทำให้เก่งกาจกว่าสุนัขป่าขนดำตัวอื่นๆทั่วไป

โรสรับมือมันอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอโยนชุดไฟในมือไปสกัดการจู่โจมของสุนัขป่า แล้วกระโดดสูงลิ่วตีลังกากลับหลังไปเหยียบกิ่งไม้ด้านบน พอเท้าสัมผัสกิ่งไม้มือของโรสทั้งสองข้างคว้ามีดคู่หนึ่งขึ้นมา ซัดออกไปยังศีรษะของมันทั้งสองเล่ม แต่น่าเสียดายที่สุนัขป่ามีความไวสูง มีดทั้งสองเฉียดเป้าหมายไปเพียงหนึ่งนิ้วทำให้สุนัขป่าขนดำไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ถึงแม้การลอบทำร้ายของสุนัขป่าจะไม่บังเกิดผลใดๆ แต่ก็ทำให้ชุดไฟของโรสตกกระเด็นไปไกลไม่เป็นที่คุกคามของมันอีก โรซาไลน์กระโดดเฉียงๆอีกคราหนึ่ง ลอยละลิ่วจากกิ่งไม้ขึ้นไปเหยียบบนกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง จากความสูงของต้นไม้ต้นนี้ก็เป็นการป้องกันทางธรรมชาติที่ไม่เปิดโอกาสให้มันกระโจนเข้าขย้ำลำคอและใบหน้าของเธอ

แต่แล้วพลันมีแสงเรืองรองออกจากมือของโรซาไลน์ เธอใช้เอลที่ห้าเสกเข้าที่เสื้อของตัวเอง เอลแห่งแสงแทรกซึมเข้าไปอยู่ตามเนื้อผ้า ทำให้ส่องสว่างเหมือนหลอดไฟดวงหนึ่ง ให้ความสว่างมากกว่าชุดไฟที่ล่วงหล่น แต่แสงจากเอลนั้นอยู่ได้เป็นเวลาไม่นาน ในที่สุดโรสก็เห็นภาพที่ชัดเจนของสุนัขป่าตัวนี้

ตาของมันสีแดงสด ตัวของมันใหญ่กว่าสุนัขป่าทั่วไปเกือบสองเท่า เรียกว่าน้องๆเสือดาวหรือเสือดำทีเดียว ขนอันดำสนิทของมันทั้งหยาบทั้งหนา โรสคาดว่าถ้าหากมีดของเธอทั้งสองซัดโดนก็คงไม่สามารถทำอันตรายมันได้อยู่ดี แต่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของสุนัขป่าขนดำที่กลายพันธุ์ตัวนี้คือเล็บที่เท้าทั้งสี่ข้างของมันเป็นสีม่วงคล้ำ โรสที่คลุกคลีอยู่กับแพทย์ชราวีตั้งแต่ยังเล็กมองดูก็รู้ได้ทันทีว่ามีพิษร้ายแรงเคลือบอยู่

โรซาไลน์ถนัดในการต่อสู้ฉาบฉวย ไม่ถนัดในการปะทะวัดกำลัง วิชาต่อสู้ที่เธอร่ำเรียนมาคือการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วกว่าปกติ หลักการกายกรรมและการซัดวัตถุฝ่าอากาศที่แม่นยำเหมือนจับวาง ทั้งหมดนี้เป็นวิชาที่เธอได้รับการถ่ายทอดจากลุงและคนในหมู่บ้านที่รู้จักวิชาป้องกันตัว

เธอคิดว่าจะต้องไม่ปล่อยสัตว์ร้ายนี้กลับไปแน่นอน

ถ้าหากมันหลุดรอดไปมันคงจะไปดักทำร้ายลูทหรือชาวบ้านคนอื่นที่แวะเวียนเข้ามาในสถานที่แถบนี้ หากมันไปดักทำร้ายลูท ภายในถ้ำเป็นสถานที่ที่เคลื่อนไหวได้จำกัดจะจัดการมันได้ลำบากกว่าและเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากกว่า โรสตัดสินใจกำจัดมันเสียตรงนี้จึงซัดมีดออกอีกสองเล่มแล้วกระโดดลงจากกิ่งไม้

มีดทั้งสองเล่มตั้งใจจะปาไม่ให้ถูกตัวสุนัขป่าอยู่แล้ว เล่มหนึ่งปักไว้ด้านหน้าของมันอีกเล่มหนึ่งปักไว้ทางซ้ายของมัน เพื่อจำกัดระยะการเคลื่อนไหวของมันมิให้ก้าวไปในทิศที่โรสมิได้กำหนด เมื่อโรซาไลน์ลงมาจากต้นไม้ก็พอดีอยู่ระหว่างกลางของมีดที่ปักลงมาที่พื้นทั้งสอง

สุนัขป่าอย่างไรก็ไม่มีความคิดเท่ามนุษย์ เมื่อเห็นโรสกระโดดลงมาจากต้นไม้ก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดี กระโจนโต้ตอบกลับมาหาเธอทันที มีดในมือของโรสอีกสองเล่มก็พุ่งสวนแสกหน้าของมันเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้างหมายจะทำลายประสาทการมองเห็นของมัน สุนัขป่าขนดำจึงต้องหยุดการกระโจนกลางอากาศเพื่อหลีกเลี่ยงจากการสูญเสียดวงตาทั้งสอง ร่างกายของมันตกวูบลงเบื้องล่างนิ้วหนึ่ง คมมีดจึงเฉียดหูสองข้างมันไปปักต้นไม้ด้านหลังแทน

โรสลอบเสียดายในใจ เธอกระโดดข้ามไปด้านหลังของสุนัขป่านั้นปามีดออกอีกสองครั้งซ้อน พอสุนัขป่าวิ่งหลบมีดทั้งสองไปได้มันกลับสะท้านขึ้นคราหนึ่งร้องออกมาเสียงดัง เมื่อขาหน้าและลำตัวของมันโดนของมีคมบาดเป็นแผลลึกลงไปร่วมเซนติเมตร

ค่ายกลของโรสสร้างเสร็จแล้ว

ลวดเหล็กกล้าเคลือบกากเพชรที่ทั้งคมทั้งเหนียวถูกขึงอยู่ตามด้ามมีดบิน ค่ายกลเส้นลวดเหล็กคมกริบล้อมสุนัขป่าอยู่รอบด้าน โรสปามีดออกอีกสองเล่มเพื่อจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของมันให้น้อยลงไปเรื่อยๆ สุนัขป่าเจ้าความคิดกลับนิ่งเฉยไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ สัตว์แสนรู้ตัวที่ดุร้ายนี้เหมือนจะสังเกตเห็นว่าตัวมันเองถูกกักอยู่ภายใต้ค่ายกลมรณะแห่งหนึ่ง

โรสซัดมีดออกบีบบังคับให้มันเคลื่อนไหวหลบแต่มันก็ยืนยิ่งใช้ขนอันแข็งแกร่งต้านรับคมมีดอย่างไม่เกรงกลัว มีดบินตกลงพื้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้สักนิด

หากเป็นสัตว์อื่นเพียงโรสปามีดออกเข้าใส่มันบีบให้มันเคลื่อนไหว เลือกระหว่างถูกลวดเหล็กบาดกับถูกมีดปักใส่ ไม่ว่าสัตว์ตัวใดก็คงจะจบสิ้นในไม่ช้า แต่ไม่อาจใช้กับสุนัขป่าขนดำได้ ทำให้โรสต้องเปลี่ยนใจไม่ใช้วิธีจำกัดพื้นที่อีก เพราะมันคงไม่หลงกลเคลื่อนไหวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกเป็นหนที่สอง

เธอจึงสะบัดมือคราหนึ่งกระตุกเส้นลวดที่ขึงเอาไว้กลับมา มีดบินทั้งหมดที่ปาออกไปถูกกระตุกกลับมายังตัวเธอ เส้นลวดเหล็กกล้าเคลื่อนไหวกลับมาด้วยความเร็วสูงดั่งอสรพิษฉกเหยื่อได้บาดเอาขนของสุนัขป่าเป็นริ้วเลือดแดงๆ โลหิตหยาดหยดลงสู่พื้น

สุนัขป่ายิ่งบาดเจ็บก็จะยิ่งดุร้าย พอมันรับรู้ว่าพันธนาการรอบตัวของมันหายไปก็เกิดความคิดแก้แค้นกระโจนเข้าใส่โรซาไลน์อย่างไม่คิดชีวิต แต่ที่ไหนได้มันพลาดแล้วก็พลาดอีก ร่างของโรสที่มันเห็นนั้นเป็นเพียงเงาที่ใช้เอลแห่งแสงสร้างขึ้น สิ่งที่รอมันอยู่เป็นดาบสั้นคมกริบที่ด้ามฝังอยู่ในต้นไม้ นับว่าเป็นดาบวิเศษเล่มหนึ่ง มันกระโดดเข้าหาคมดาบอย่างสุดแรงหมายจะกัดทำร้ายเป้าหมาย ยิ่งมันกระโจนเข้าไปด้วยแรงมากเท่าไรก็จะยิ่งบาดเจ็บมากเท่านั้น คมดาบวิเศษที่ฝังอยู่ปักเข้าที่กลางหน้าผากทำให้มันสิ้นใจตกตายไปในที่สุด

จะอย่างไรก็ตามสัตว์ป่าก็ไม่ฉลาดเท่ามนุษย์ โรซาไลน์เดินมามองร่างสุนัขป่าส่ายหน้าด้วยความเวทนาครั้งหนึ่ง เธอถอนดาบสั้นเก็บไว้กับตัวดังเดิมจากนั้นจึงรีบรุดหน้ากลับไปยังหมู่บ้านเงาจันทร์ ภารกิจส่งมอบหญ้าสะท้อนจันทร์ของเธอยังไม่เสร็จสิ้น ในใจลอบภาวนาให้ลูทสามารถกำจัดต้นน้ำพิษได้โดยปลอดภัย



ในถ้ำที่ทอดสู่เบื้องล่างสุดหุบเขาไม้ดอก

หลังจากที่ฝืนความรู้สึกเจ็บปวดปฐมพยาบาลตัวเองด้วยยาในขวดสีเหลืองที่โรสให้มา ลูทก็ดื่มน้ำทิพย์รักษาพิษของท่านหมอวีลงไปอึกหนึ่ง เขานอนพิงผนังถ้ำพักผ่อนพร้อมกับวางชุดไฟไว้ด้านข้างด้วยความไม่ประมาทเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายมากร้ำกราย

เมื่อลูทพักผ่อนได้ประมาณหกชั่วโมงฟ้าก็เริ่มสาง เขารู้สึกว่าแขนซ้ายมีอาการปวดเพียงเล็กน้อย บริเวณแผลที่ถูกคมเขี้ยวสุนัขป่าไม่มีโลหิตหลั่งใหลออกมาอีก ส่วนแขนขวาที่เคยมีอาการชาด้านจากพิษที่เล็บก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง อาการมึนศีรษะที่เกิดจากพิษก็ไม่มีเกิดขึ้นอีก ปากแผลที่ถูกเล็บข่วนล้วนแห้งสนิทลูทเห็นดังนั้นจึงกล่าวขอบคุณหมอวีในใจ ถึงแม้จะชราแต่ก็ยังเจ๋งอยู่

ลูทลุกขึ้นพร้อมกับดับชุดไฟที่วางไว้ข้างกายใส่ลงไปยังกระเป๋าสัมภาระตามเดิม เดินออกจากถ้ำมุ่งไปยังก้นหุบเขา แต่พอเขาเดินออกไปภายนอก ภาพเบื้องหน้ากลับเป็นทิวทัศน์ที่เขาไม่นึกไม่ฝันและไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน

ไม้ดอกนานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปทั่วบริเวณก้นหุบเขา เบื้องบนเป็นผาสูงชันประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี ถ้าเขาเกิดสิ้นสติไปก่อนที่จะพิชิตสุนัขป่าตัวนั้นแล้วตื่นขึ้นมาค่อยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ เขาคงคิดว่ามันเป็นสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน

ด้วยภาพเบื้องหน้าที่งดงามดั่งศิลปะจากเทพเจ้า สะกิดอารมณ์สุนทรีย์ของลูทขึ้นมาในทันใด เขาหยิบเอาขลุ่ยที่ทำจากหินอ่อนขึ้นมาบรรเลงเป็นบทเพลงอันแสนไพเราะอบอุ่น ฟังแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เสียงดุริยางศ์ทิพย์จากขลุ่ยหินอ่อนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกดูสดใสไปหมด เหมือนผีเสื้อร่าเริงกำลังบินวนอยู่ท่ามกลางไม้ดอก เหมือนหญิงสาวกำลังเดินจูงมือกับคนรักและครอบครัวอย่างมีความสุข เหมือนนกน้อยมองเห็นแม่ของมันกำลังบินกลับเข้ารัง บทเพลงอันน่าประทับใจดังก้องกังวานไปทั้งหุบเขา

ช่วงเวลาที่เขาบรรเลงเพลงเสมือนสิ้นสุดไปในชั่วพริบตา พอลูทเก็บขลุ่ยหินอ่อนลงสัมภาระก็เกิดความรู้สึกเหมือนผลัดกระดูกเปลี่ยนกล้ามเนื้อคราหนึ่ง ความเมื่อยล้าในตัวทั้งหลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง คาดว่าเสียงเพลงของเขามีส่วนช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่มากก็น้อย

ลูทเดินไปอีกระยะหนึ่งก็พบกับต้นน้ำของแม่น้ำเจนีส ไม่น่าเชื่อว่าธารน้ำใหญ่ปานนั้นกลับมีต้นกำเนิดของเล็กเพียงนี้ สิ่งที่เขาพบเห็นเป็นเพียงตาน้ำที่ไหลออกมาจากโพรงไม้ต้นหนึ่งแต่ไหลอยู่ตลอดเวลาและไม่เคยหยุดนิ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบุคคลที่เพียรจะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาด้วยความอดทนต่อเนื่องและแน่วแน่

เขาพลันนึกถึงความฝันของเขา ความฝันที่อยากจะทำให้เป็นจริง ถ้าเขาทำได้เขาไม่เพียงที่จะสานฝันของตัวเองให้เป็นความจริงแต่ยังจะสานความฝันของบิดาเขาให้เป็นความจริงด้วย ความฝันนั้นคือจารึกศาสตราวุธที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาลงในทำเนียบยอดศาสตราทั้งสิบหกให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสตราที่เขาใช้หรือศาสตราที่เกิดจากการประดิษฐ์ของเขาก็ตาม

ลูทเดินวนโดยรอบก้นหุบเขาพบดอกไม้พิษอยู่ทั้งหมดสามต้น ต้นหนึ่งมีรอยถูกกัดกินไปคาดว่าคงจะเป็นสุนัขป่าขนดำพวกนั้น แต่อีกสองต้นยังเจริญงอกงามดีอยู่ เขาเห็นเช่นนั้นจึงเทน้ำทิพย์จากขวดลงสู่ต้นดอกไม้พิษทั้งสามต้นจนหมด

ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน ต้นน้ำที่เป็นสีม่วงจางๆก็ค่อยๆใสบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆดอกไม้พิษทั้งสามต้นค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีขาวในที่สุด ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลกลบไม้ดอกทั้งหลายรอบข้างไปอย่างสิ้นเชิง ลูทประหลาดใจมากกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ จึงเด็ดดอกไม้หอมสีขาวที่สวยสดงดงามนั้นมากิ่งหนึ่งใส่ลงในสัมภาระของเขาไว้เป็นอนุสรณ์ถึงหุบเขาไม้ดอก

เมื่อเสร็จสิ้นงานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมาย ลูทก็มองขึ้นไปด้านบนพบเงาคนสามสี่คนกำลังทยอยเดินลงมาจากปากหุบเขา กล่องแก้วทับทิมของเขาก็ชี้ขึ้นไปตามเงาคนที่เดินลงมา

จากเหตุการณ์นี้เองเขาก็เกิดความคิดแปลกใหม่ขึ้นอีกเพื่อที่จะพัฒนาอุปกรณ์ช่วยระบุตำแหน่งชนิดนี้ให้ดีกว่าเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:


รายละเอียดของผู้ประพันธ์

ผู้ประพันธ์
เปิดรับความคิดเห็นของผู้อ่านทุกท่าน ผ่านการติชมในบล็อคแห่งนี้ ผ่านทางอีเมล legend.of.el@gmail.com ครับ

ตำนานแห่งเอลตอนก่อนหน้านี้

Stats

Web Counter
Free Counter