ตำนานแห่งเอลตอนที่ 3 จะลงตีพิมพ์ในเวปไซต์นี้วันที่ 30 เมษายน 2550 ครับ

มหากาพย์เรื่องใหม่ซึ่งผสมผสานไปด้วยกลิ่นอายของดินแดนมหัศจรรย์ นำมาร้อยเรียงเป็นถ้อยคำบรรยายด้วยภาษาเชิงกำลังภายใน ตีพิมพ์ลงเป็นบทความในอินเตอร์เนตให้อ่านพรีวิวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2550

Legend of El, Episode I, Chapter III

ภาควิกฤตก่อกำเนิด
ตอนที่ 3 หญ้าสะท้อนจันทร์
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226

ลูท โรซาไลน์และกอร์ดอนรุดมายังห้องรักษาพยายาลที่อยู่ด้านข้าง พบเห็นบลูนอนหลับอยู่บนเตียง ฟังจากเสียงลมหายใจดูเหมือนคนนอนหลับตามปกติ จึงไม่ทราบว่าอาการทรุดหนักลงได้อย่างไร

ลูทถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านหมอ อาการของบลูเป็นอย่างไรบ้าง”

แพทย์ชราละสายตาจากบลูมองมาที่ลูทส่ายหน้าคราหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก เพียงแต่อาการของพ่อหนุ่มคนนี้แปลกประหลาดนัก”

ลูทถามต่อไปว่า “ผิดปกติอย่างไร ข้าเห็นเขาก็นอนหลับเป็นปกติไม่มีบาดแผลอันใด”

แพทย์วีกล่าวว่า “ภายนอกของเขาไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรหรอก แต่สิ่งที่ผิดปกติมันอยู่ภายในต่างหาก เอลภายในร่ายกายของเขามีแหล่งกำเนิดอยู่ถึงสี่แห่ง แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีเพียงแห่งเดียว ข้าตรวจสอบพบว่าเนื่องจากเขาฝืนใช้เอลมากเกินไป ขั้นตอนก่อกำเนิดของเอลที่ทำงานในเวลาที่คนเราพักผ่อนทำงานไม่ทัน วงจรการสร้างเอลใหม่ขึ้นมาเพื่อชดเชยเอลที่ถูกใช้ ไม่สามารถฟื้นฟูเอลทั้งสี่แห่งได้พร้อมกันทั้งหมด ในจุดนี้ถ้าหากเป็นคนปกติธรรมดา เพียงนอนสลบไสลไปวันสองวันก็จะตื่นขึ้นมาเอง พร้อมกับกำลังวังชาที่เต็มเปี่ยม แต่สำหรับพ่อหนุ่มคนนี้ เขามีต้นกำเนิดของเอลมากกว่าคนปกติถึงสี่เท่า ถึงแม้ว่าเขาสามารถก่อกำเนิดเอลใหม่เข้าทดแทนเอลเก่าที่หายไปได้ดีกว่าคนปกติถึงสองเท่ามันก็ยังไม่เพียงพอ ข้าเกรงว่าจุดกำเนิดของเอลอีกสองแห่งเมื่อฟื้นฟูไม่ทันจะไม่ฟื้นฟูขึ้นมาอีก หรือเป็นไปได้ถึงขนาดที่จุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ยังใช้การไม่ได้ถ่วงการทำงานของจุดกำเนิดเอลอีกสองแห่งที่ใช้การได้ ทำให้ระบบโดยรวมล้มเหลวกันไปทั้งหมด กล่าวอย่างเรียบง่ายก็คือมีโอกาสที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถใช้เอลได้ตามปกติ หรืออย่างโชคดีที่สุดอาจจะใช้ได้ แต่ได้ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือแค่กึ่งหนึ่งของยามก่อนหน้านี้”

ลูทตกใจกับเรื่องที่หมอวีกล่าวเป็นอย่างมาก บลูเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา ในช่วงที่ร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ดาธด้วยกันทำให้เขาทราบดีว่าบลูหลงใหลในเรื่องของเอลเป็นที่สุด บลูถึงได้รบเร้าให้อาจารย์ดาธสอนเรื่องเอลกับเขาทุกวี่วัน ส่วนตัวลูทเองแทบจะไม่มีความสนใจทางด้านเอลเลย ถ้าหากบลูสูญเสียความสามารถในการใช้เอลไปกึ่งหนึ่งแล้วเขาเองคงยากจะรับได้

หัวหน้าหมู่บ้านกอร์ดอนถามว่า “ท่านหมอวี มีวิธีอะไรพอจะช่วยได้ไหม”

แพทย์ชราวีตอบว่า “วิธีนั้นมีอยู่หรอกแต่จะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว ข้าถึงได้ใช้ให้บีทรีบไปเรียกพวกท่านมา”

ลูทกล่าวแทรกขึ้นว่า “ทำอย่างไรละท่านหมอ ข้าพร้อมจะช่วยเต็มที่”

แพทย์ชราวีกล่าวตอบว่า “ข้ายังกล่าวไม่จบ อย่าพึ่งรีบร้อนไปสิพ่อหนุ่ม”

ลูทนึกในใจ หมออะไรเนี่ยบอกว่าต้องช่วยด้วยความรวดเร็วแล้วบอกให้ข้าไม่รีบร้อน

แพทย์ชราวีกล่าวสืบต่อ “ด้วยพลังการฟื้นฟูที่เหนือกว่าคนธรรมดาอย่างพ่อหนุ่มคนนี้ อย่างน้อยเขาจะไม่มีผลกระทบใดๆในช่วงเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เขาต้องได้รับการช่วยเหลือโดยการกระตุ้นจากภายนอก นั่นก็คือการกระตุ้นด้วยตัวยา ตัวยาจะช่วยเปิดทางให้เอลของเขาอีกสองสายที่หลับไหลอยู่ภายในร่างกายออกมาใช้งานได้สะดวกมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้อัตราการฟื้นคืนตัวของเอลจะเพิ่มพูนทำให้เอลก่อกำเนิดในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมา วิธีปรุงยานั้นข้าเองก็รู้วิธีปรุงอยู่เพียงแต่ขาดส่วนผสมของตัวยาที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ต้นหญ้าสะท้อนจันทร์”

โรซาไลน์กล่าวเสริมว่า “ข้าเคยได้ยินผู้คนในหมู่บ้านเอ่ยปากถึงต้นหญ้าชนิดนี้ รู้สึกว่ามันจะอยู่ในหุบเขาไม้ดอก ใช่ไหมท่านหมอวี”

หมอวีกล่าวตอบว่า “ถูกต้องแล้วหลานเอย ต้นหญ้าต้นนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หุบเขาไม้ดอกทางทิศตะวันออก ห่างจากที่นี่ไปประมาณแปดกิโลเมตร ทางเดินแถบนั้นค่อนข้างจะอันตราย หุบเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของไม้ดอกนานาพันธุ์ รวมถึงต้นน้ำของแม่น้ำเจนีสที่ไหลตัดผ่านตอนปลายหมู่บ้านเรา ถิ่นกำเนิดของแม่น้ำเจนีสที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างเมืองเจนีสเหนือใต้ก็อยู่ที่หุบเข้าไม้ดอกนี่แหละ”

ลูทฟังคำกล่าวของหมอวีแล้วคิดตามอย่างใจจดใจจ่อ พิจารณาว่าหุบเขาไม้ดอกสมควรจะอยู่ตำแหน่งใดในแผนที่ที่เขาพกติดตัวมา เขาปรารถนาจะโบยบินไปปลิดสมุนไพรมาให้เพื่อนเขาเสียที

หมอวีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวต่อไปว่า “หุบเข้าไม้ดอกยังเป็นต้นเหตุของปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง นับเป็นประเด็นที่สำคัญพอๆกับการช่วยเหลือพ่อหนุ่มคนนี้ นั่นคือหุบเขาไม้ดอกเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำพิษ ที่จะสร้างปัญหาให้กับหมู่บ้านเราในเร็ววันเสียด้วย”

กอร์ดอนกล่าวตัดบทว่า “เมื่อครู่ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้ามา ลุงกำลังปรึกษากับท่านหมอวีเรื่องปัญหาน้ำพิษจากหุบเขาไม้ดอกอยู่พอดี ประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง น้ำพิษเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อประมาณสามสิบปีก่อน พิษของมันเจือปนมากับแม่น้ำเจนีสทำให้คนที่ดื่มน้ำเข้าไปเกิดอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลายหมดสติ หัวหน้าหมู่บ้านรุ่นก่อนออกสำรวจตรวจตราจนพบต้นตอของปัญหานี้ เขาพบว่าตัวการของปัญหาคือดอกไม้ประหลาดชนิดหนึ่งในหุบเขาไม้ดอก ดอกไม้ชนิดนี้แผ่ละอองเกสรที่เป็นอันตรายต่อผู้คนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆลงในต้นน้ำ น้ำพิษพวกนี้จะไหลเข้ามารวมกับคลองส่งน้ำของพวกเราทำให้พืชผลเสียหาย น้ำไม่สามารถดื่มกินได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ของหมู่บ้านเราเช่นกัน

ในช่วงนี้ส่วนผสมน้ำพิษยังเบาบางอยู่ไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อคนได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้อีกไม่เกินสามวันให้หลัง ดอกไม้พวกนี้ก็จะเจริญเติบโตเต็มที่ น้ำพิษจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและส่งผลกระทบต่อทั้งคนในหมู่บ้านเราและประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเจนีสทั้งสองเมืองกว่าหลายหมื่นคน เราจะต้องจัดการกับปัญหานี้ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต”

หมอวีกล่าวต่อว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการกำจัดต้นน้ำพิษ ข้านั้นได้ปรุงน้ำทิพย์ขจัดพิษขึ้นมาสำเร็จแล้วฤทธิ์ของมันสามารถต่อต้านพิษจากดอกไม้พิษสีม่วงได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ให้ใครสักคนหนึ่งลงไปที่ก้นหุบเขาจะเจอแหล่งกำเนิดของต้นน้ำและดอกไม้สีม่วงซึ่งข้าคาดว่าคงมีไม่เกินสามหรือสี่ต้น จากนั้นพรมน้ำทิพย์นี้ลงไปบนดอกไม้พิษสีม่วงที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำพิษ พิษทั้งหลายก็จะถูกขจัดออกไปพวกเราก็จะรอดพ้นจากภัยอันตราย”

ลูทกล่าวตอบโดยไม่ลังเล “ตกลงข้าจะไปนำเอาหญ้าสะท้อนจันทร์ แล้วก็จะจัดการเรื่องต้นน้ำพิษให้กับพวกท่าน” ดวยคุณธรรมประจำใจของเขาถึงไม่มีเรื่องบลูเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็ตกลงใจจะช่วยเรื่องน้ำพิษนี่ให้ถึงที่สุด

หมอวีกล่าวตอบว่า “ขอบใจเจ้ามากพ่อหนุ่มน้อย หญ้าสะท้อนจันทร์อยู่ที่ปากหุบเขา เจ้าเดินเท้าเข้าไปไม่ลึกก็จะพบกับต้นหญ้าเรืองแสงชนิดนี้ แต่น้ำพิษอยู่ที่ส่วนในสุดของหุบเขา ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะกลับมาไม่ทันช่วยเพื่อนของเจ้า ดังนั้นข้าคิดว่าจะให้บีทไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอีกคนหนึ่ง ให้เขาเอาต้นหญ้าสะท้อนจันทร์กลับมาก่อน การช่วยคนต้องทำยิ่งเร็วยิ่งเกิดผลดีและยาของข้าก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรุง ถ้านานไปเกรงว่าอาจจะช่วยเหลือไม่ทัน”

โรซาไลน์กล่าวว่า “ข้าขอไปแทนบีทจะดีกว่าหมอวี เรื่องน้ำพิษเป็นเรื่องรีบด่วนของหมู่บ้านนี้เช่นกัน ข้าในฐานะของหลานสาวของหัวหน้าหมู่บ้านที่อาศัยในหมู่บ้านนี้ ในเมื่อหมู่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ต้องช่วยอย่างสุดความสามารถ”

กอร์ดอนกล่าวว่า “ถ้าหลานโรสไปเองข้าก็วางใจ ให้หลานบีทอยู่ที่นี่ศึกษาวิชาจากท่านหมอ ช่วยดูแลเพื่อนของลูท นี่เป็นนับเป็นโอกาสอันดีที่หลานจะได้ศึกษาวิชาแพทย์ที่ใช้กันจริงๆ รวมทั้งวิธีผสมยาวิเศษที่นานๆจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง”

หมอวีตอบว่า “ถ้าพวกท่านจะเอาอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่ขัดข้องอันใด”

จากนั้นกอร์ดอนก็หันหน้าไปทางโรสและลูทกล่าวสืบต่อว่า “พวกเจ้าทั้งสองต้องระวัง หุบเขาไม้ดอกดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่เมื่อดอกไม้พิษปรากฏขึ้นจะต้องมีสาเหตุะไรบางอย่าง ข้าระแวงว่าสัตว์ร้ายอาจจะปรากฏกายขึ้นได้”

ลูทตอบอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าจะต้องช่วยเพื่อนข้าและหมู่บ้านนี้ให้จงได้ ท่านลุงกอร์ดอนโปรดวางใจ”

โรสกล่าวว่า “ขอเวลาข้าประมาณหนึ่งชั่วโมงเตรียมอุปกรณ์สำหรับไต่หน้าผาและการเดินทาง เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆก็สมควรที่จะพักผ่อนเอาเรี่ยวแรงสักครู่ หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราพบกันที่หน้าหมู่บ้าน”

กอร์ดอนกล่าวว่า “ขอให้อาเรสคุ้มครองเจ้า”

อาเรสเป็นผู้กล้าที่ยุติความขัดแย้งของสงครามระหว่างนอร์ ลาเวนดิสและเอนเซลเมื่อสองร้อยยี่สิบหกปีก่อน เขาสถาปนานครมิสต์อันเป็นดินแดนกลางเชื่อมสามอาณาจักรเข้าด้วยกันขึ้น หลังจากปีนั้นความเจริญต่างๆก็รุดหนึ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้กล้าอาเรสได้รับการยกย่องประหนึ่งเทพเจ้าถึงขนาดกำหนดปีศักราชขึ้นใหม่เรียกว่าอาเรสศักราชซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้

ทั้งสองรับคำคราหนึ่งแล้วจึงอำลาจากไป



ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ปากทางเข้าหมู่บ้าน

ขณะนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษลูทกับโรซาไลน์ก็เตรียมตัวพร้อมสรรพเพื่อออกเดินทางสู่หุบเขาไม้ดอกทั้งสองเดินกันไปพลางสนทนากันไปพลาง

ลูทกล่าวว่า “เราคงจะต้องเดินทางกันอีกประมาณสองชั่วโมงสินะ”

โรสพยักหน้าคราหนึ่งกล่าวว่า “ใช่ หุบเขาไม้ดอกห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกราวแปดกิโลเมตร แต่จากจุดนั้นไปถึงต้นหญ้าสะท้อนจันทร์อาจจะต้องใช้เวลาอีกราวชั่วโมงหนึ่ง”

ลูทถามว่า “เจ้าเคยไปที่นั่นมาก่อนไหม”

โรสพยักหน้าครั้งหนึ่งตอบว่า “เพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นข้าออกติดตามหมอวีและลุงเซลไปตรวจดูพรรณไม้ที่นั่น แต่ข้าก็ยังพอจำเส้นทางได้อยู่บ้าง ภูมิประเทศนั้นเป็นทางแคบๆเพียงให้เดินได้ทีละคน จะต้องเดินเรียงเดี่ยวเกาะขอบหินผาเข้าไปตามทาง ด้านล่างสุดของหุบเขามีดอกไม้นานาชนิดขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งหุบเขา ที่นั่นมีตาน้ำเล็กๆอยู่ตาหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำเจนีส”

ลูทหยิบเอาของชิ้นเล็กๆสองชิ้นจากกระเป๋าสัมภาระของเขาขึ้นมา มันเป็นแท่งแก้วสองแท่ง ภายในแต่ละแท่งมีหินอัญมณีสีแดงสดอยู่ก้อนหนึ่ง ลูทยื่นให้กับโรซาไลน์แท่งหนึ่ง “ของสิ่งนี้ให้เจ้าโปรดนำมันติดตัวไว้”

โรซาไลน์รับแท่งแก้วมามองดูอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า “แท่งแก้วนี้เอาไว้ทำอะไร”

ลูทสาธิตวิธีการใช้ให้กับโรสดูพร้อมกล่าวอธิบายว่า “แท่งแก้วนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อาจารย์ดาธเคยสอนให้ข้า มันมีประโยชน์มากเวลาเดินทางกันสองคน วิธีใช้เจ้าต้องวางกล่องแท่งแก้วนี้นอนราบลงบนฝ่ามือ จากนั้นลองสังเกตดูจะพบว่าพลอยสีแดงในกล่องแก้วทั้งสองจะเลื่อนมาชี้เข้าหากันเสมอ ปลายของแท่งแก้วพวกนี้หมุนได้และจะหมุนไปตามทิศทางของพลอยอีกลูกหนึ่ง เสมือนมีแรงดึงดูดจากพลอยทั้งสองเข้าหากันตลอดเวลา ทำให้พวกเรารู้ที่อยู่ของอีกคนหนึ่ง ถ้าเกิดการพลัดหลงกันระหว่างทาง”

โรซาไลน์พยักหน้ากล่าวว่าเข้าใจแล้วจากนั้นเก็บแท่งแก้วไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง ถามต่อไปว่า “ทำไมพลอยทั้งสองถึงมีแรงดึงดูดเข้าหากันได้ล่ะ”

ลูทตอบว่า “อาจารย์อธิบายให้ข้าฟังว่าพลอยทั้งสองแต่เดิมเป็นเม็ดเดียวกัน ท่านแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วใช้แร่เอลไลท์ทำปฏิกริยากับมันตามทฤษฏีของเอลเทคให้เชื่อมกันใหม่ พลอยแต่ละก้อนจะส่งแรงดึงดูดเข้าหากันเพื่อรวมเป็นเนื้อเดียวอีกครั้ง ระหว่างที่มันกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ให้นำพลอยทั้งสองใส่ลงไปในแท่งแก้วพิเศษสองแท่งนี้ แรงดึงดูดที่มีออกมาจะคงอยู่เสมอไป ด้วยเหตุนี้พลอยทั้งสองหันหน้าเข้าหากันตลอดเวลา”

จนบัดนี้โรสถึงเข้าใจว่าลูทเองก็เป็นคนที่มีความสามารถทางด้านสิ่งประดิษฐ์คนหนึ่ง ตัวเธอเองมิได้ต้องการคำตอบที่ลึกซึ้งเท่าไร แค่เกิดความอยากรู้เมื่อเห็นพลอยที่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่พอลูทตอบได้อย่างละเอียดถี่ยิบราวกับสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง เธอจึงต้องประเมิณคุณค่าลูทใหม่

พอลูทอธิบายจบจึงถามโรสกลับไปว่า “แล้วเจ้าเรียนวิชาอะไรจากอาจารย์ดาธ”

โรซาไลน์ตอบว่า “เมื่อแปดปีก่อนข้าเรียนเอลที่ห้าจากท่านอาจารย์ เจ้ารู้จักวิธีใช้เอลใช่ไหม”

ลูทกล่าวอย่างตกใจว่า “แปดปีเชียวหรือตอนนั้นเจ้าก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเองสิ” จากนั้นตอบโรสไปว่า “ไม่หรอกข้าใช้เอลไม่เป็น ว่าแต่เอลที่ห้าคืออะไร ข้าไม่เห็นบลูเคยใช้สักครั้ง”

โรสตอบว่า “เอลที่ห้าคือเอลที่ประสานพลังงานของแสงสว่างออกมาใช้งาน”

ลูทถามต่อด้วยความสงสัยว่า “แล้วมีประโยชน์อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง ถ้าให้ข้าเดาก็คงเป็นการฉายแสงสว่างในที่มืดนอกจากนั้นมีอีกไหม”

โรสตอบว่า “เอลที่ห้าที่ข้าร่ำเรียนมานั้นยังอยู่ในวงจำกัด ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกเอลที่ห้าช่วยให้แสงสว่างในที่มืดได้ ข้าสามารถใช้มันรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้อีกอย่างหนึ่ง ทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น โลหิตหยุดหลั่งไหล อาการฟกช้ำดำเขียวหายไป”

ลูทกล่าวชมเชยว่า “ท่าทางจะมีประโยชน์ไม่น้อย หวังว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บถึงขนาดให้เจ้าช่วยรักษา”



หุบเขาไม้ดอกเป็นสถานที่ที่มีไม้ดอกนานาพันธุ์สมชื่อ ขนาดในยามวิกาลยังมีกลิ่นหอมจางๆล่องลอยออกมาจากสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

จากปากทางเข้าไปจนถึงด้านล่างของหุบเขาเป็นทางลาดชันลงไปเรื่อยๆ ผู้ที่เดินไม่ระวังอาจจะพลัดตกลงไปได้และแน่นอนโอกาสรอดชีวิตนั้นเลือนรางยิ่ง พวกเขาทั้งสองใช้เวลาเดินราวครึ่งชั่วโมงตั้งแต่จากปากทางเข้าถึงที่จุดนี้ พวกเขาไม่สามารถเดินด้วยความเร็วเต็มที่เพราะทางนั้นทั้งแคบและอันตรายทำให้ต้องใช้เวลามากกว่าการเดินปกติ

โรซาไลน์ที่เดินอยู่ด้านหลังชี้ให้ลูทมองไปตามมือของเธอ กล่าวว่า “สถานที่นั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของหญ้าสะท้อนจันทร์”

ลูทมองตามไปเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมาจากทางด้านนั้นอยู่ลิบตาจริงอย่างที่โรสกล่าว จึงกล่าวตอบว่า “อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึง”

โรสตอบว่า “ไม่ไกลเท่าไรหรอกแต่ปัญหาอยู่ที่ความเร็วในการเดิน เมื่อเราเดินลึกลงไปเรื่อยๆ เงาไม้จะบดบังแสงจันทร์ทำให้เรามองไม่เห็นทาง เจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จากจุดนี้คงจะใช้เวลาเดินเกือบครึ่งชั่วโมง”

ลูทพยักหน้ารับคำ คนทั้งสองถือชุดไฟกันคนละหนึ่งชุดเพื่อส่องแสงสว่างในที่มืด ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการค่อยๆเดินต่อไป ทุกย่างก้าวจะต้องผ่านการไตร่ตรองก่อนถึงจะก้าวขาทิ้งน้ำหนักลงไป ลูทได้ยินเสียงก้อนหินร่วงหล่นกระทบหน้าผาดังเป็นระยะๆ เขาต้องทำเป็นไม่สนใจเสียงพวกนั้นเพื่อมิให้มองลงไปยังด้านล่าง ขาทั้งสองข้างเดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

แสงจันทร์สลัวส่องลงมากระทบวงพักตร์ของโรซาไลน์ เกิดความรู้สึกอันสวยซึ้งจับต้องไม่ได้อย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะสวมใส่ชุดรัดกุมสีดำเพื่อความคล่องตัวและกลมกลืนกับความมืด เมื่อตัดกับเส้นผมที่เป็นสีทองอร่ามผสมผสานกับกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนซึ่งโชยอยู่ริมจมูก ช่วยขับให้ภาพลักษณ์ของนางในยามราตรีให้งดงามยิ่งขึ้น

ทั้งสองหยุดลงด้วยทางเบื้องหน้าอันเป็นช่องเขาที่ทั้งแคบและลึกเป็นพิเศษ เมื่อข้ามทางแคบนี้ไปได้ แนวต้นหญ้าสะท้อนจันทร์สีเหลืองอร่ามก็จะปรากฏอยู่เบื้องหน้า ลูทใช้ชุดไฟส่องดูพบว่าช่องเขามีความยาวเป็นระยะทางกว่าห้าเมตรกว้างเพียงฝ่าเท้าของคนๆหนึ่ง เขาคิดในใจว่าดูท่าจะรับน้ำหนักไม่ได้มากเพียงจะให้เดินข้ามไปได้ทีละคนเท่านั้น ลูทยกนาฬิกาอันเดิมที่ผูกไว้กับเข็มขัดขึ้นมาดูพบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเขาใช้เวลาไปราวสี่ชั่วโมงเศษนับตั้งแต่ออกเดินทางมาจากหมู่บ้านเงาจันทร์ ถ้าหากข้ามช่องแคบนี้ไปเขาก็จะได้ตัวยากลับไปรักษาบลู รวมเวลาไปกลับอย่างมากก็คงจะไม่เกินเก้าชั่วโมงบลูคงจะปลอดภัยไร้อันตราย

ลูทใช้มือซ้ายโบกให้โรซาไลน์หยุดรอสักพัก ตนเองใช้มือขวาถือชุดไฟเดินข้ามช่องแคบไปอย่างระมัดระวัง เมื่อลูทเดินไปได้สามก้าวก็เกิดเสียงก้อนหินดักแกร๊กขึ้น ลูทรู้สึกถึงรอยร้าวที่ใต้เท้าของเขา เขาจึงก้าวขาไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อลูทก้าวไปสองก้าวก็พบว่าช่องแคบนั้นก็ถล่มลง ประสบการณ์พวกนี้เขาเคยเผชิญมาแล้วในสมัยที่เดินป่ากับพ่อและต้องปีนหน้าผา ระยะทางสองก้าวที่ลูทก้าวไปไม่ได้รีบร้อนเพื่อจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งแต่เป็นการรวมกำลังให้เขากระโดดข้ามช่องเขาไปอีกฟากหนึ่ง

เสียงดังโครมครามสนั่นหุบเขาเมื่อทางเชื่อมระหว่างหุบเขาทั้งสองฟากถล่มลง ส่วนลูทนั้นกระโดดข้ามไปอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย โรซาไลน์ถอยกลับมาด้านหลังสามก้าวเอามือจับหน้าผาด้านข้างทรงตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ถูกแรงสั่นสะเทือนผลักร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง

ต่อมาเมื่อเสียงสั่นสะเทือนสงบลง เหตุการณ์กลับสู่ปกติอีกครั้ง แต่คนทั้งสองกลับติดอยู่คนละฟากกัน

ลูทก้มลงเก็บหญ้าสะท้อนจันทร์ขึ้นมาด้วยความดีใจหันกลับไปยังเบื้องหลังตะโกนเรียกโรซาไลน์คราหนึ่ง เขาโยนหญ้าสะท้อนจันทร์ไปพร้อมกับตะโกนให้โรสรับเอาไว้

พอโรสรับต้นหญ้าเรืองแสงนั้นไว้ได้ ลูทจึงตะโกนบอกไปว่า “รบกวนเจ้าเอาหญ้าสะท้อนจันทร์ไปให้ท่านหมอวีทำการปรุงยารักษาบลูก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่สืบหาต้นดอกไม้พิษและจัดการกับมันเอง พอฟ้าสางเจ้าค่อยนำคนมาช่วยข้าพเจ้าจากที่นี่ ข้ารับรองว่าข้าไม่เป็นอะไร”

โรซาไลน์มองดูหญ้าสะท้อนจันทร์ในมือนึกถึงผลได้ผลเสีย เห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่สามารถช่วยลูทได้ เชือกที่ติดตัวมาก็ยาวไม่พอที่จะโยนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมรอบข้างก็ไม่อำนวย ถ้าทำการข้ามฟากด้วยเชือกเส้นเดียวในตอนนี้ อาจมีโอกาสผิดพลาดมากเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน พอคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวตอบไปว่า “ตกลง ข้าจะนำหญ้านี้ไปช่วยบลูเสียก่อน เจ้าจงรับของสิ่งนี้ไว้”

โรสโยนขวดสีเหลืองใบหนึ่งไปให้ลูท กล่าวว่า “ยาในขวดนั่นเป็นยาสมานแผลชั้นเลิศจากท่านหมอวี หากเกิดอะไรขึ้นขอให้เจ้าใช้ยานั่นรักษาตัวไปพลางก่อน ยานี้สามารถดื่มได้เมื่อบอบช้ำภายในหรือทาเมื่อบาดเจ็บภายนอกก็ได้ ข้าจะกลับมาอีกทียามฟ้าสาง ขอให้เจ้าระมัดระวังตัว”

ลูทกล่าวขอบคุณโรสจากนั้นรับคำคราหนึ่งแล้วก็เดินเลาะลัดตามทางเดินหุบเขาหายลับไปในความมืด



ชุดไฟที่ลูทถือเพียงให้แสงสลัวส่องนำทางในความมืดมิดของหุบเขาไม้ดอก

ในที่สุดเขาก็เดินมาจนสุดทางเดินช่วงแรก เบื้องหน้าของเขาเป็นถ้ำอันมืดมิดขอเพียงเดินทะลุถ้ำแห่งนี้ไปก็จะถึงพื้นที่ใต้หุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่ลุงกอร์ดอนระบุว่ามีต้นดอกไม้พิษอยู่แถวนั้น

มีเสียงผิดปกติดังขึ้นทางด้านหลัง ด้วยโสตประสาทอันฉับไวของพรานหนุ่มลูทหันหลังกลับไปทันที

เขาพบกับตาของสัตว์ร้ายที่มีสีแดงฉานในความมืดบ่งบอกถึงภยันอันตรายที่กำลังจะคุกคามเขาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า จากการพิเคราะห์นัยน์ตาสัตว์พรานป่าลูทก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นสุนัขป่าอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ามันจะเป็นพันธุ์อะไรเท่านั้นเอง

ในบรรดาสุนัขป่าทั้งหลายสุนัขป่าขนดำเป็นสุนัขป่าชนิดที่อันตรายที่สุด เขี้ยวของมันคมกริบถึงขนาดว่าสามารถล้มสัตว์ใหญ่ขนาดวัวได้ภายในการกัดคราเดียว สุนัขป่าชนิดนี้มีจำนวนน้อยและหายากยิ่งแต่ก็ดุร้ายยิ่ง พรานบางคนจะถือว่าการได้พบสุนัขป่าเช่นนี้เปรียบเสมือนเจอขุมทรัพย์เพราะสัตว์ที่หายิ่งยากก็จะขายได้ราคาสูง แต่บางครั้งพวกเขาก็ต้องไปพบกับพญามัจจุราชแทนที่จะได้เงินก้อนโตกลับบ้านไป

พอลูทกวาดชุดไฟออกไปเบื้องหน้าก็พบเห็นขนที่ดำขลับของมันจนเขาแน่ใจแล้วว่ามันเป็นสุนัขป่าขนดำจริงๆ ลูทจับกระบี่ตั้งมั่นในมือขวากุมชุดไฟในมือซ้ายเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ลูทสังเกตดูพฤติกรรมมันพบว่ามันอาจจะเกรงกลัวชุดไฟมากกว่ากระบี่ของเขา

หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ป่าทั้งสองกำลังรอคอยจังหวะที่จะจู่โจม

ลูทกวัดแกว่งชุดไฟไปเบื้องหน้าสะบัดให้สะเก็ดไฟขนาดเล็กลอยกระเด็นไปยังสุนัขป่ากระตุ้นให้มันเดินหลบ สุนัขป่าขนดำเห็นสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าหา แทนที่จะหลบสุนัขแสนรู้กระโดดสวนเข้ามายังแขนขวาของลูทที่ถือกระบี่ด้วยความเร็วสูง กระบี่ของลูทเสมือนมีนัยน์ตาสะบัดออกไปตามสัญชาตญาณพรานป่า ปลายกระบี่ปาดไปที่คอหอยของสุนัขป่าอย่างแม่นยำ

ลูทเคยเห็นบิดาเขาต่อสู้กับสุนัขป่าขนดำมาก่อน เขาถึงคาดเดาวิธีการต่อสู้ของสุนัขป่าได้อย่างไม่ยากเย็น เขาล่อให้มันจู่โจมเข้ามาก่อนเพื่อที่จะใช้กระบี่สวนกลับเข้าจุดตายของมัน

ฉัวะ!

กระบี่ของลูทแทงเข้าที่ลำคอของสุนัขป่าขนดำอย่างเต็มแรง แทนที่เขาจะดีใจเขากลับตะลึงเสียเอง มันเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ขนของมันทั้งเหนียวทั้งหนาและหยาบถึงขนาดที่ทนคมกระบี่เหล็กได้ ลูทสะท้านขึ้นมาในใจฉุกคิดว่านี่มันไม่ใช่สุนัขป่าขนดำธรรมดาอย่างแน่นอน คราก่อนพ่อของเขาสยบสุนัขป่าขนดำได้ด้วยกระบี่ชนิดเดียวกันนี้ซึ่งเขาเห็นมากับตา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีวิชากระบี่เทียบเท่ากับพ่อของเขาแต่รับรองได้ว่าความคมของกระบี่นี้ต้องทำอันตรายมันได้มากกว่านี้ มิใช่เพียงฝากรอยแดงเป็นริ้วดังเช่นโดนเหล็กทื่อๆตีใส่เท่านั้น

สุนัขป่าตะกายเข้าใส่ลูทอีกครั้ง สัตว์แสนรู้ฉวยโอกาสจังหวะที่ลูทความประหลาดใจในเกราะขนดำของมัน เล็บของมันเตรียมตะปบเข้าใส่ที่แขนซ้ายของลูทส่วนเขี้ยวของมันเตรียมจะปักเข้าที่หัวไหล่ของเป้าหมาย ลูทอันยอดเยี่ยมสามารถหลบฉากออกด้านข้างก่อนที่มันจะเข้ามาประชิดตัว ถึงแม้ว่าเขาจะหลบได้อย่างรวดเร็วแล้วแต่ก็ยังไม่พ้นจากการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ เล็บของสุนัขป่าขนดำสะกิดเข้าที่แขน แค่เพียงสะกิดก็ทำให้แขนเสื้อของเขาฉีกขาดเกิด เป็นรอยโลหิตจางๆขึ้นที่แขนขวาราวกับถูกมีดอันคมกริบปาดใส่

ลูทฟันกระบี่ออกไปอีกสามครั้งต่อเนื่องกันเล็งไปที่ศีรษะขาหน้าและบริเวณลำตัว สุนัขป่ากลับไม่กลัวคมกระบี่เช่นนี้อีกต่อไป มันกระโจนสวนเข้าใส่ลูททันที คมกระบี่ฟันถูกขาหน้ากับส่วนลำตัวมันแต่ผลก็เป็นเช่นเดิม ทั้งสองกระบี่ได้แค่ฝากริ้วรอยเล็กน้อยเอาไว้

ลูทเห็นสภาวะการณ์เบื้องหน้าเริ่มคับขันเขาจึงใช้คบไฟจี้เข้าไปที่สุนัขป่าแทนกระบี่ สุนัขป่าขนดำอย่างไรก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมันก็กลัวเปลวไฟเหมือนสัตว์ป่าอื่นๆ มันตื่นตกใจหลีกไปด้านข้างทำให้ลูทรอดพ้นการจู่โจมของมันไปอีกคราหนึ่ง

แต่แล้วลูทเกิดอาการมึนศีรษะขึ้นมา แขนขวาที่ถือกระบี่เริ่มชาด้าน

เขาถูกพิษเสียแน่แล้ว พิษจากเล็บของสุนัขป่า

เขาประติดประต่อเรื่องราว คาดเดาเหตุการณ์ได้ด้วยความมั่นใจแปดส่วนว่าสุนัขป่าขนดำตัวนี้ต้องดื่มน้ำพิษหรือไม่ก็กินดอกไม้พิษไปอย่างแน่นอน แขนของเขาถึงได้ถูกพิษเช่นนี้และตัวมันถึงได้ทนความคมของกระบี่เขาได้ขนาดนี้ ดอกไม้พิษนั้นต้องมีฤทธิ์พิเศษทำให้มันบ้าคลั่งและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับทุกๆครั้งที่เขาขยับตัวลูทรู้สึกถึงการแพร่กระจายของพิษออกไปกว้างกว่าเดิม สุนัขป่าแสนรู้ที่กลัวเพลิงตัวนี้เหมือนจะรู้ว่าถ้ามันเพียงแต่คุมเชิงอยู่ด้านหน้า ชุดไฟในมือของลูทก็ไม่สามารถทำอย่างไรกับมันได้ พิษจากเล็บของมันจะแทรกเข้าไปในตัวลูททำให้เขาล้มลงในที่สุด

หากสุนัขป่านิ่งเฉยเรี่ยวแรงของเขาจะลดลงเรื่อยๆจนหมดไป เขาคิดหาทางตอบโต้มันจนเกิดเป็นอุบายขึ้นมาแผนหนึ่ง ลูทวางแผนเป็นมั่นเหมาะตกลงตัดสินใจเสี่ยงคราหนึ่ง เขาเปลี่ยนเป็นถือชุดเพลิงด้วยมือขวาที่ถูกพิษแล้วใช้มือซ้ายถือกระบี่แทน จากนั้นพอได้จังหวะเขาก็แกล้งทำชุดเพลิงในมือขวาตกลงสู่พื้น ลูทมั่นใจว่ามันไม่เกรงกระบี่ในมือซ้ายของเขาเพียงแต่เกรงกลัวชุดไฟอย่างเดียว ถ้ามันเห็นเขาทำชุดไฟตกลงพื้นเช่นนี้มันจะต้องจู่โจมเข้ามาอย่างแน่นอน

สุนัขป่าไม่เข้าใจกับแผนที่ลูทวางเอาไว้ มันเป็นโอกาสอันดีที่จะจู่โจมปลิดปลงศัตรู จึงกระโจนเข้าหาตัวลูทหมายจะขย้ำคอให้จงได้ ลูทฝืนใจรวบรวมเรี่ยวแรงที่หลงเหลือใช้กระบี่ในมือซ้ายแทงออกไปอย่างสุดแรง กระบี่นี้คงจะเป็นกระบี่สุดท้าย เขาทุ่มเดิมพันไปสุดตัวก็เพื่อกระบี่นี้เพียงกระบี่เดียว

ผลปรากฏว่าปลายกระบี่ของลูทแทงออกทะลุไปทางยังหางของสุนัขป่า แขนซ้ายของลูทที่ถือกระบี่แทงทะลวงไปที่ปากของมัน เป็นอย่างที่ลูทคาดเอาไว้จริง อวัยวะภายในของสุนัขป่าไม่ได้มีแข็งแกร่งคงกระพันด้วยขนหนาดั่งเช่นภายนอก เขาใช้ทั้งปัญญา กำลังขวัญและเรี่ยวแรงทั้งหมดเอาชัยสุนัขป่าตัวนี้ได้สำเร็จแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยแผลฉกรรจ์ที่แขนซ้ายและพิษที่เริ่มลุกลามไปทั่วตัวทำให้เขามึนงงแทบหมดสติ

ในที่สุดลูทก็ทรุดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า



โรซาไลน์เดินออกไปถึงปากทางหุบเขาไม้ดอก พลันได้ยินเสียงผิดปกติคราหนึ่ง จากนั้นเธอก็เห็นเงาทะมึนที่มีดวงตาสีแดงสาดส่องกระโจนเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว

สุนัขป่าขนดำนั่นเอง ด้วยความที่โรสเป็นคนท้องถิ่นจึงคาดการณ์ได้หลายส่วนว่าเจ้าสัตว์ขนดำชนิดนี้จะต้องวนเวียนอยู่แถวนี้ คอยดักซุ่มทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่พลัดหลงเข้ามา เพียงแต่เธอยังไม่ทราบว่ามันได้รับผลจากดอกไม้พิษทำให้เก่งกาจกว่าสุนัขป่าขนดำตัวอื่นๆทั่วไป

โรสรับมือมันอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอโยนชุดไฟในมือไปสกัดการจู่โจมของสุนัขป่า แล้วกระโดดสูงลิ่วตีลังกากลับหลังไปเหยียบกิ่งไม้ด้านบน พอเท้าสัมผัสกิ่งไม้มือของโรสทั้งสองข้างคว้ามีดคู่หนึ่งขึ้นมา ซัดออกไปยังศีรษะของมันทั้งสองเล่ม แต่น่าเสียดายที่สุนัขป่ามีความไวสูง มีดทั้งสองเฉียดเป้าหมายไปเพียงหนึ่งนิ้วทำให้สุนัขป่าขนดำไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ถึงแม้การลอบทำร้ายของสุนัขป่าจะไม่บังเกิดผลใดๆ แต่ก็ทำให้ชุดไฟของโรสตกกระเด็นไปไกลไม่เป็นที่คุกคามของมันอีก โรซาไลน์กระโดดเฉียงๆอีกคราหนึ่ง ลอยละลิ่วจากกิ่งไม้ขึ้นไปเหยียบบนกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง จากความสูงของต้นไม้ต้นนี้ก็เป็นการป้องกันทางธรรมชาติที่ไม่เปิดโอกาสให้มันกระโจนเข้าขย้ำลำคอและใบหน้าของเธอ

แต่แล้วพลันมีแสงเรืองรองออกจากมือของโรซาไลน์ เธอใช้เอลที่ห้าเสกเข้าที่เสื้อของตัวเอง เอลแห่งแสงแทรกซึมเข้าไปอยู่ตามเนื้อผ้า ทำให้ส่องสว่างเหมือนหลอดไฟดวงหนึ่ง ให้ความสว่างมากกว่าชุดไฟที่ล่วงหล่น แต่แสงจากเอลนั้นอยู่ได้เป็นเวลาไม่นาน ในที่สุดโรสก็เห็นภาพที่ชัดเจนของสุนัขป่าตัวนี้

ตาของมันสีแดงสด ตัวของมันใหญ่กว่าสุนัขป่าทั่วไปเกือบสองเท่า เรียกว่าน้องๆเสือดาวหรือเสือดำทีเดียว ขนอันดำสนิทของมันทั้งหยาบทั้งหนา โรสคาดว่าถ้าหากมีดของเธอทั้งสองซัดโดนก็คงไม่สามารถทำอันตรายมันได้อยู่ดี แต่ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของสุนัขป่าขนดำที่กลายพันธุ์ตัวนี้คือเล็บที่เท้าทั้งสี่ข้างของมันเป็นสีม่วงคล้ำ โรสที่คลุกคลีอยู่กับแพทย์ชราวีตั้งแต่ยังเล็กมองดูก็รู้ได้ทันทีว่ามีพิษร้ายแรงเคลือบอยู่

โรซาไลน์ถนัดในการต่อสู้ฉาบฉวย ไม่ถนัดในการปะทะวัดกำลัง วิชาต่อสู้ที่เธอร่ำเรียนมาคือการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วกว่าปกติ หลักการกายกรรมและการซัดวัตถุฝ่าอากาศที่แม่นยำเหมือนจับวาง ทั้งหมดนี้เป็นวิชาที่เธอได้รับการถ่ายทอดจากลุงและคนในหมู่บ้านที่รู้จักวิชาป้องกันตัว

เธอคิดว่าจะต้องไม่ปล่อยสัตว์ร้ายนี้กลับไปแน่นอน

ถ้าหากมันหลุดรอดไปมันคงจะไปดักทำร้ายลูทหรือชาวบ้านคนอื่นที่แวะเวียนเข้ามาในสถานที่แถบนี้ หากมันไปดักทำร้ายลูท ภายในถ้ำเป็นสถานที่ที่เคลื่อนไหวได้จำกัดจะจัดการมันได้ลำบากกว่าและเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายมากกว่า โรสตัดสินใจกำจัดมันเสียตรงนี้จึงซัดมีดออกอีกสองเล่มแล้วกระโดดลงจากกิ่งไม้

มีดทั้งสองเล่มตั้งใจจะปาไม่ให้ถูกตัวสุนัขป่าอยู่แล้ว เล่มหนึ่งปักไว้ด้านหน้าของมันอีกเล่มหนึ่งปักไว้ทางซ้ายของมัน เพื่อจำกัดระยะการเคลื่อนไหวของมันมิให้ก้าวไปในทิศที่โรสมิได้กำหนด เมื่อโรซาไลน์ลงมาจากต้นไม้ก็พอดีอยู่ระหว่างกลางของมีดที่ปักลงมาที่พื้นทั้งสอง

สุนัขป่าอย่างไรก็ไม่มีความคิดเท่ามนุษย์ เมื่อเห็นโรสกระโดดลงมาจากต้นไม้ก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดี กระโจนโต้ตอบกลับมาหาเธอทันที มีดในมือของโรสอีกสองเล่มก็พุ่งสวนแสกหน้าของมันเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้างหมายจะทำลายประสาทการมองเห็นของมัน สุนัขป่าขนดำจึงต้องหยุดการกระโจนกลางอากาศเพื่อหลีกเลี่ยงจากการสูญเสียดวงตาทั้งสอง ร่างกายของมันตกวูบลงเบื้องล่างนิ้วหนึ่ง คมมีดจึงเฉียดหูสองข้างมันไปปักต้นไม้ด้านหลังแทน

โรสลอบเสียดายในใจ เธอกระโดดข้ามไปด้านหลังของสุนัขป่านั้นปามีดออกอีกสองครั้งซ้อน พอสุนัขป่าวิ่งหลบมีดทั้งสองไปได้มันกลับสะท้านขึ้นคราหนึ่งร้องออกมาเสียงดัง เมื่อขาหน้าและลำตัวของมันโดนของมีคมบาดเป็นแผลลึกลงไปร่วมเซนติเมตร

ค่ายกลของโรสสร้างเสร็จแล้ว

ลวดเหล็กกล้าเคลือบกากเพชรที่ทั้งคมทั้งเหนียวถูกขึงอยู่ตามด้ามมีดบิน ค่ายกลเส้นลวดเหล็กคมกริบล้อมสุนัขป่าอยู่รอบด้าน โรสปามีดออกอีกสองเล่มเพื่อจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของมันให้น้อยลงไปเรื่อยๆ สุนัขป่าเจ้าความคิดกลับนิ่งเฉยไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ สัตว์แสนรู้ตัวที่ดุร้ายนี้เหมือนจะสังเกตเห็นว่าตัวมันเองถูกกักอยู่ภายใต้ค่ายกลมรณะแห่งหนึ่ง

โรสซัดมีดออกบีบบังคับให้มันเคลื่อนไหวหลบแต่มันก็ยืนยิ่งใช้ขนอันแข็งแกร่งต้านรับคมมีดอย่างไม่เกรงกลัว มีดบินตกลงพื้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้สักนิด

หากเป็นสัตว์อื่นเพียงโรสปามีดออกเข้าใส่มันบีบให้มันเคลื่อนไหว เลือกระหว่างถูกลวดเหล็กบาดกับถูกมีดปักใส่ ไม่ว่าสัตว์ตัวใดก็คงจะจบสิ้นในไม่ช้า แต่ไม่อาจใช้กับสุนัขป่าขนดำได้ ทำให้โรสต้องเปลี่ยนใจไม่ใช้วิธีจำกัดพื้นที่อีก เพราะมันคงไม่หลงกลเคลื่อนไหวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกเป็นหนที่สอง

เธอจึงสะบัดมือคราหนึ่งกระตุกเส้นลวดที่ขึงเอาไว้กลับมา มีดบินทั้งหมดที่ปาออกไปถูกกระตุกกลับมายังตัวเธอ เส้นลวดเหล็กกล้าเคลื่อนไหวกลับมาด้วยความเร็วสูงดั่งอสรพิษฉกเหยื่อได้บาดเอาขนของสุนัขป่าเป็นริ้วเลือดแดงๆ โลหิตหยาดหยดลงสู่พื้น

สุนัขป่ายิ่งบาดเจ็บก็จะยิ่งดุร้าย พอมันรับรู้ว่าพันธนาการรอบตัวของมันหายไปก็เกิดความคิดแก้แค้นกระโจนเข้าใส่โรซาไลน์อย่างไม่คิดชีวิต แต่ที่ไหนได้มันพลาดแล้วก็พลาดอีก ร่างของโรสที่มันเห็นนั้นเป็นเพียงเงาที่ใช้เอลแห่งแสงสร้างขึ้น สิ่งที่รอมันอยู่เป็นดาบสั้นคมกริบที่ด้ามฝังอยู่ในต้นไม้ นับว่าเป็นดาบวิเศษเล่มหนึ่ง มันกระโดดเข้าหาคมดาบอย่างสุดแรงหมายจะกัดทำร้ายเป้าหมาย ยิ่งมันกระโจนเข้าไปด้วยแรงมากเท่าไรก็จะยิ่งบาดเจ็บมากเท่านั้น คมดาบวิเศษที่ฝังอยู่ปักเข้าที่กลางหน้าผากทำให้มันสิ้นใจตกตายไปในที่สุด

จะอย่างไรก็ตามสัตว์ป่าก็ไม่ฉลาดเท่ามนุษย์ โรซาไลน์เดินมามองร่างสุนัขป่าส่ายหน้าด้วยความเวทนาครั้งหนึ่ง เธอถอนดาบสั้นเก็บไว้กับตัวดังเดิมจากนั้นจึงรีบรุดหน้ากลับไปยังหมู่บ้านเงาจันทร์ ภารกิจส่งมอบหญ้าสะท้อนจันทร์ของเธอยังไม่เสร็จสิ้น ในใจลอบภาวนาให้ลูทสามารถกำจัดต้นน้ำพิษได้โดยปลอดภัย



ในถ้ำที่ทอดสู่เบื้องล่างสุดหุบเขาไม้ดอก

หลังจากที่ฝืนความรู้สึกเจ็บปวดปฐมพยาบาลตัวเองด้วยยาในขวดสีเหลืองที่โรสให้มา ลูทก็ดื่มน้ำทิพย์รักษาพิษของท่านหมอวีลงไปอึกหนึ่ง เขานอนพิงผนังถ้ำพักผ่อนพร้อมกับวางชุดไฟไว้ด้านข้างด้วยความไม่ประมาทเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายมากร้ำกราย

เมื่อลูทพักผ่อนได้ประมาณหกชั่วโมงฟ้าก็เริ่มสาง เขารู้สึกว่าแขนซ้ายมีอาการปวดเพียงเล็กน้อย บริเวณแผลที่ถูกคมเขี้ยวสุนัขป่าไม่มีโลหิตหลั่งใหลออกมาอีก ส่วนแขนขวาที่เคยมีอาการชาด้านจากพิษที่เล็บก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง อาการมึนศีรษะที่เกิดจากพิษก็ไม่มีเกิดขึ้นอีก ปากแผลที่ถูกเล็บข่วนล้วนแห้งสนิทลูทเห็นดังนั้นจึงกล่าวขอบคุณหมอวีในใจ ถึงแม้จะชราแต่ก็ยังเจ๋งอยู่

ลูทลุกขึ้นพร้อมกับดับชุดไฟที่วางไว้ข้างกายใส่ลงไปยังกระเป๋าสัมภาระตามเดิม เดินออกจากถ้ำมุ่งไปยังก้นหุบเขา แต่พอเขาเดินออกไปภายนอก ภาพเบื้องหน้ากลับเป็นทิวทัศน์ที่เขาไม่นึกไม่ฝันและไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน

ไม้ดอกนานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปทั่วบริเวณก้นหุบเขา เบื้องบนเป็นผาสูงชันประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากสี ถ้าเขาเกิดสิ้นสติไปก่อนที่จะพิชิตสุนัขป่าตัวนั้นแล้วตื่นขึ้นมาค่อยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ เขาคงคิดว่ามันเป็นสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน

ด้วยภาพเบื้องหน้าที่งดงามดั่งศิลปะจากเทพเจ้า สะกิดอารมณ์สุนทรีย์ของลูทขึ้นมาในทันใด เขาหยิบเอาขลุ่ยที่ทำจากหินอ่อนขึ้นมาบรรเลงเป็นบทเพลงอันแสนไพเราะอบอุ่น ฟังแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก เสียงดุริยางศ์ทิพย์จากขลุ่ยหินอ่อนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกดูสดใสไปหมด เหมือนผีเสื้อร่าเริงกำลังบินวนอยู่ท่ามกลางไม้ดอก เหมือนหญิงสาวกำลังเดินจูงมือกับคนรักและครอบครัวอย่างมีความสุข เหมือนนกน้อยมองเห็นแม่ของมันกำลังบินกลับเข้ารัง บทเพลงอันน่าประทับใจดังก้องกังวานไปทั้งหุบเขา

ช่วงเวลาที่เขาบรรเลงเพลงเสมือนสิ้นสุดไปในชั่วพริบตา พอลูทเก็บขลุ่ยหินอ่อนลงสัมภาระก็เกิดความรู้สึกเหมือนผลัดกระดูกเปลี่ยนกล้ามเนื้อคราหนึ่ง ความเมื่อยล้าในตัวทั้งหลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง คาดว่าเสียงเพลงของเขามีส่วนช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่มากก็น้อย

ลูทเดินไปอีกระยะหนึ่งก็พบกับต้นน้ำของแม่น้ำเจนีส ไม่น่าเชื่อว่าธารน้ำใหญ่ปานนั้นกลับมีต้นกำเนิดของเล็กเพียงนี้ สิ่งที่เขาพบเห็นเป็นเพียงตาน้ำที่ไหลออกมาจากโพรงไม้ต้นหนึ่งแต่ไหลอยู่ตลอดเวลาและไม่เคยหยุดนิ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบุคคลที่เพียรจะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาด้วยความอดทนต่อเนื่องและแน่วแน่

เขาพลันนึกถึงความฝันของเขา ความฝันที่อยากจะทำให้เป็นจริง ถ้าเขาทำได้เขาไม่เพียงที่จะสานฝันของตัวเองให้เป็นความจริงแต่ยังจะสานความฝันของบิดาเขาให้เป็นความจริงด้วย ความฝันนั้นคือจารึกศาสตราวุธที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาลงในทำเนียบยอดศาสตราทั้งสิบหกให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสตราที่เขาใช้หรือศาสตราที่เกิดจากการประดิษฐ์ของเขาก็ตาม

ลูทเดินวนโดยรอบก้นหุบเขาพบดอกไม้พิษอยู่ทั้งหมดสามต้น ต้นหนึ่งมีรอยถูกกัดกินไปคาดว่าคงจะเป็นสุนัขป่าขนดำพวกนั้น แต่อีกสองต้นยังเจริญงอกงามดีอยู่ เขาเห็นเช่นนั้นจึงเทน้ำทิพย์จากขวดลงสู่ต้นดอกไม้พิษทั้งสามต้นจนหมด

ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน ต้นน้ำที่เป็นสีม่วงจางๆก็ค่อยๆใสบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆดอกไม้พิษทั้งสามต้นค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีขาวในที่สุด ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลกลบไม้ดอกทั้งหลายรอบข้างไปอย่างสิ้นเชิง ลูทประหลาดใจมากกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ จึงเด็ดดอกไม้หอมสีขาวที่สวยสดงดงามนั้นมากิ่งหนึ่งใส่ลงในสัมภาระของเขาไว้เป็นอนุสรณ์ถึงหุบเขาไม้ดอก

เมื่อเสร็จสิ้นงานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมาย ลูทก็มองขึ้นไปด้านบนพบเงาคนสามสี่คนกำลังทยอยเดินลงมาจากปากหุบเขา กล่องแก้วทับทิมของเขาก็ชี้ขึ้นไปตามเงาคนที่เดินลงมา

จากเหตุการณ์นี้เองเขาก็เกิดความคิดแปลกใหม่ขึ้นอีกเพื่อที่จะพัฒนาอุปกรณ์ช่วยระบุตำแหน่งชนิดนี้ให้ดีกว่าเดิม

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2550

Legend of El, Episode I, Chapter II

ภาควิกฤตก่อกำเนิด
ตอนที่ 2 ขุนโจรราเกซ
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226

บลูหันหลังกลับมาตามเสียงเรียก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบหน้าเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันเป็นเวลานานก็ตื่นเต้นดีใจแต่ก็ยังไม่ละทิ้งสติสัมปชัญญะ เขาหันหน้ากลับไปทางที่มีศัตรูติดตามมาพร้อมกับตะโกนบอกลูทให้ระวังตัว

ทันใดนั้นนายทหารในเครื่องแบบสีดำแหวกพงหญ้าตามเข้ามา ถึงกับชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าบลูมีผู้ช่วยเหลืออีกสองคน เขาจึงคิดชิงกำจัดบลูที่ใช้เรี่ยวแรงออกจวนหมดสิ้น ถ้าหากลงมือประสบผลก็ยังสามารถหลบหนีไปได้

นายทหารผู้นั้นใช้หอกยาวแทงตรงเข้ามาใส่บลูที่ยังล้มอยู่กับพื้น คมหอกมีสีเงินค่อนไปทางสีขาวแสดงว่าสร้างมาจากโลหะมิทราล ลูทเห็นเช่นนั้นจึงใช้กระบี่ของตัวเองปกป้องเพื่อนสนิท เข้าต้านรับคมหอกของฝั่งตรงข้าม ลูทสะท้านขึ้นคราหนึ่งเมื่อถูกแรงกระแทกต้องถอยหลังไปก้าวใหญ่ ส่วนหอกของนายทหารผู้นั้นก็ถูกกระบี่ปัดเสียจังหวะไป ลูทรู้สึกว่าข้อแขนของตัวเองชาด้านไปหมด เรี่ยวแรงของทหารคนนี้ช่างมีมากเสียเหลือเกิน

เมื่อลูทเสียหลักนายทหารคนนั้นก็ไม่เปิดโอกาสให้ลูทตั้งตัว เขาใช้หอกตวัดปาดเฉียงจากล่างขึ้นบนเปลี่ยนเป้าหมายจากบลูมาเป็นลูทในทันที ลูทใช้กระบี่เข้าต้านรับอีกคราแต่คราวนี้ลูทต้องถอยไปครึ่งก้าวในขณะที่นายทหารยังสามารถแทงหอกซ้ำเติมอีกสองครั้ง ลูทรับมือเป็นพัลวัน ปัดป่ายหอกของฝั่งตรงข้ามออกด้านข้างให้พ้นตัว เขารู้สึกได้ว่าฝีมือของตนเองยังเป็นรองนายทหารคนนี้อย่างน้อยสองขั้นหรือสามขั้น จึงสงบจิตใจที่ตื่นเต้นยินดีที่พบบลู ตั้งสมาธิเพื่อต้านรับหอกยาวของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดกำลัง

เสียงคมหอกแหวกอากาศดังขึ้นติดต่อกัน หอกยาวของนายทหารแทงออกมาดุจดังห่าฝน ลูทที่มีฝีมือเป็นรองเห็นเพียงแต่ปลายหอกที่เป็นเงาสีเงินพุ่งเข้ามาใส่ตน เขาพยายามใช้กระบี่ต้านรับเฉพาะเงาหอกที่พุ่งเข้ามาที่จุดสำคัญ ส่วนที่ไม่ใช่จุดสำคัญก็พยายามขยับหลบหลีก คงไว้ซึ่งการตั้งรับอย่างรัดกุม

ถึงแม้ลูทจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ก็พยายามหาจังหวะที่จะสะบัดกระบี่โต้กลับอยู่ทุกเมื่อ เขารู้ตัวดีว่าถ้าตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่อย่างเดียว จะอย่างไรก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในขณะที่ลูทค้นหาช่องว่างของฝ่ายตรงข้าม เงาหอกเงาหนึ่งแทงเสริมเข้ามาโดยที่เขามิได้คาดหมาย ลูทเบี่ยงตัวหลบปลายหอกที่เขารับมือไม่ทันอีกครั้ง ปลายหอกของนายทหารแทงเฉียดเข็มขัดด้านข้างของกางเกงลูทไป โชคยังดีที่ลูทก้าวขาได้รวดเร็ว เงาหอกยังไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ลูทกำลังหาทางรับมือนายทหารฝั่งตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อ จึงมิได้สนใจว่าเหรียญสัญลักษณ์ที่ห้อยอยู่ที่ข้างเอวของเขาถูกหอกเกี่ยวตกลงไปที่พื้น

คมหอกของนายทหารบาดเข้าที่แขนลูทจนโลหิตหลั่งไหล แผลที่เกิดยังไม่ลึกเท่าใดนัก เป็นเพียงแผลที่เกิดจากการบาดผิวเผิน เพลงกระบี่ของลูทไม่ได้เก่งกาจเลอเลิศ เขาร่ำเรียนวิชากระบี่มาจากบิดา เพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวช่วงที่ออกไปล่าสัตว์ในป่า ด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อและความตั้งใจที่จะช่วยเพื่อนให้ได้ ทำให้ลูทยืนกัดฟันสู้อยู่จนถึงบัดนี้ เมื่อเทียบกันระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ฝั่งตรงข้ามเป็นนายทหารฝีมือดีมีวิชาหอกที่ล้ำลึก ในขณะที่ลูทเป็นลูกนายพราน ถนัดในการล่าสัตว์หรือประดิษฐ์สิ่งของมากกว่าเพลงกระบี่ สามารถรับมือได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว

บลูเห็นว่าลูทคงรับมือได้อีกไม่นาน เงาหอกเริ่มจะแผ่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าบางจุดของลูทขาดออกเป็นแผลถลอกจากการถลันหลบอย่างฉิวเฉียด โลหิตค่อยๆซึมออกมาตามปากแผลเล็กน้อย บลูจึงพยายามฝืนใจร่ายเอลช่วยลูท แต่เอลในร่างกายกลับไม่ตอบสนองตามที่เขาคิด ขณะที่หลบหนีเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนบลูเองสูญเสียพละกำลังไปอักโข ไม่สามารถใช้เอลออกได้ตามใจปรารถนาอีก ดูท่าแล้วคงต้องเสียเวลารวบรวมเอลอีกระยะหนึ่ง

ลูทตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของหอกจนต้องถอยหลังไปสามก้าว แต่แล้วพลันพบช่องว่างระหว่างการชิงจู่โจมของนายทหารชุดดำ จังหวะการแทงหอกนั้นดูเหมือนไม่ต่อเนื่องเหมือนช่วงแรก เงาหอกเบาบางลงส่วนหนึ่ง ความกดดันที่มีมาหาเขาก็ลดลงส่วนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบเห็นช่องว่างที่แขนซ้ายของนายทหาร ลูทคาดการณ์ว่านายทหารคนนี้คงเสียพละกำลังไปในขณะตามไล่กวดบลู เมื่อพบกับเขาก็พยายามรีบเผด็จศึกเขาโดยเร็ว ทำให้เรี่ยวแรงไม่ประติดประต่อ สุดท้ายจึงเกิดเป็นช่องว่างขึ้น พอคิดได้เช่นนั้นลูทจึงใช้กระบี่ของตนตวัดเข้าไปในช่องโหว่นั้นทันที

ผ้าสีเหลืองผืนหนึ่งเช็ดถูคมกระบี่อยู่อย่างทนุถนอม ตัวกระบี่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจึงต้องใช้เวลาทำความสะอาดมากกว่ากระบี่ทั่วไป

กระบี่ของมือปราบชั้นหนึ่งไกยาวกว่าปกติเกือบสองฟุต ตัวคมกระบี่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของกระบี่ทั่วไป น้ำหนักของมันก็มากเป็นสองเท่าตามไปด้วย ทำให้เขาไม่สามารถสะพายกระบี่ไว้ที่ข้างเอวเหมือนคนอื่นได้ กระบี่ลักษณะนี้เรียกว่ากระบี่ยักษ์หรือกระบี่สองมือ คนที่เริ่มต้นฝึกกระบี่ยักษ์จะเริ่มจากการใช้สองมือจับกระบี่แล้วฟาดฟันออก พอฝึกไปถึงได้ระดับหนึ่งถึงจะสามารถใช้มือข้างเดียวฟาดฟันกระบี่ได้ กระบี่ยักษ์พวกนี้จึงจำกัดไว้เพียงผู้ใช้ที่มีกำลังข้อแขนมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถที่ใช้อาวุธที่หนักอึ้งด้วยความคล่องแคล่วได้

ไกกำลังจะเดินทางออกจากเมืองโอดิน ตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองเจนีสลึกเข้าไปในพื้นที่ของอาณาจักรนอร์ เมื่อเดือนก่อนเขาได้ตกลงรับภารกิจที่สำคัญเรื่องหนึ่ง จากผู้ตรวจการประจำภาคตะวันตก นั่นคือการกวาดล้างกองโจรสุนัขป่าทางตะวันตกของเมืองนี้

ไกเป็นหนึ่งในมือปราบชั้นหนึ่งของอาณาจักรนอร์หรือเรียกว่ามือปราบระดับหนึ่งก็ได้ จัดเป็นตำแหน่งสูงสุดของผู้รักษาความปลอดภัย พวกเขาถือว่าเป็นหน่วยปราบปรามความไม่สงบที่ขึ้นชื่อที่สุดในอาณาจักรนอร์ทอดสายตาทั้งอาณาจักรมีบุคคลระดับนี้อยู่เพียงสามคนเท่านั้น มือปราบชั้นหนึ่งรับคำสั่งจากชั้นผู้ตรวจการโดยตรงไม่จำเป็นต้องขึ้นต่อพื้นที่ใดๆ ไกดำรงตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ตัวเขาเองตั้งใจจะลาออกจากการทำงานเป็นมือปราบเสียที เพื่อที่จะได้ดูแลพ่อแม่บุญธรรมที่แก่เฒ่าทั้งสอง ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะเก็บเขามาเลี้ยงแต่บุญคุณที่อุปการะและความผูกพันที่อยู่ร่วมกันมาเกือบสามสิบปี ไม่มีวันที่จะลบเลือนไปจากจิตใจของเขา งานมือปราบชั้นหนึ่งเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายและจะต้องออกเดินทางอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะเขาทำงานประเภทนี้จึงไม่มีเวลาให้กับบิดามารดา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆในใจ

ไกตกลงใจแล้วว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายของเขาในฐานะมือปราบชั้นหนึ่ง จากนั้นเขาคงลาออกมารับหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้กับบุตรหลานตระกูลใหญ่ หรือว่าครูสอนวิชาการต่อสู้ในเมืองโอดิน ซึ่งเขาคิดว่าถ้าทำเช่นนั้นจะมีเวลามาให้บิดามารดามากกว่า เมื่อเขาทำความสะอาดกระบี่เสร็จสิ้นก็สอดคืนฝัก จากนั้นนำกระบี่ยักษ์มาคาดเอาไว้ด้านหลัง ที่ฝักของกระบี่ยักษ์แกะสลักเป็นรูปเกล็ดน้ำค้างกำลังจะหยดจากใบไม้ ซึ่งน้ำค้างเกาะอยู่ที่ใบไม่สามารถหยดลงมาได้ เพราะหยดน้ำค้างถูกความเย็นจึงแข็งเป็นน้ำแข็ง กระบี่ยักษ์ของเขาจึงมีชื่อว่ากระบี่เกล็ดน้ำค้าง

เขาจูงม้าคู่ใจออกมาจากโรงเลี้ยงม้าข้างบ้านพักชั่วคราว บ้านที่เขายึดถือเป็นที่อยู่อาศัยระหว่างการปฏิบัติภารกิจ ไกลูบหัวม้าด้วยความเอ็นดูกล่าวว่า “เจ้าพายุ ครั้งนี้ต้องขอให้เจ้าช่วยอีกครั้งแล้วสินะ” เจ้าพายุแสนรู้ร้องเสียงดังตอบรับผู้เป็นนาย จากนั้นเขาจึงขึ้นขี่เจ้าพายุควบตรงออกจากเมืองไปทางทิศตะวันตก
ปฏิบัติการล่าขุนโจรก็เริ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวลึกลับที่บังเอิญเจอกับลูทในป่าก็พบเห็นตราสัญลักษณ์ที่ตกจากตัวลูทลงสู่พื้น
พอหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ เธอเพ่งมองตราสัญลักษณ์ของลูทเทียบกับของตนเองที่ต้นคอ ก็พบว่ามีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ทันใดนั้นจึงตัดสินใจช่วยเหลือลูทอีกแรงหนึ่ง
ตราสัญลักษณ์ทั้งสองทำจากโลหะสีแดงเลือดหมูแกะสลักเป็นรูปพระอาทิตย์ขนาดประมาณเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้ว ที่ขอบเหรียญตามแนวของเปลวเพลิงพระอาทิตย์เจาะเป็นรูกลมผูกคล้องไว้กับโลหะชนิดเดียวกันเส้นหนึ่ง โลหะเส้นนี้ถูกตีจนบางเฉียบเหมือนกับสร้อยทองคำที่มีน้ำหนักไม่เกินห้าสิบสตางค์ ตรงใจกลางของพระอาทิตย์มีตัวอักษรโบราณที่อ่านไม่ออกเขียนเอาไว้ทั้งสองด้าน โรสเองคล้องตราสัญลักษณ์นี้เอาไว้ที่คอตลอดมา

มีเสียงตะโกนดังมาจากทิศทางที่ลูทและนายทหารต่อสู้กันว่า “เจ้าหลงกลแล้ว”

นายทหารผู้นั้นจงใจเปิดช่องโหว่ที่แขนซ้ายให้ลูทเห็น เพื่อหลอกล่อให้ลูทจู่โจมเข้าไป พอลูทตวัดกระบี่จู่โจม นายทหารก็ใช้ข้อมือซ้ายปะทะเข้าไปที่คมกระบี่อย่างถนัดถนี่ เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น นายทหารผู้นี้สวมปลอกแขนเหล็กไว้ใต้เครื่องแบบแขนยาวเป็นเครื่องป้องกันชนิดหนึ่ง ลูทคาดคิดไม่ถึงว่าใต้แขนซ้ายสวมปลอกแขนเหล็กสามารถใช้ต้านทานคมกระบี่ได้ นายทหารเห็นว่าอุบายของตนประสบผล จึงแทงหอกออกด้วยมือขวาไปที่ลูทอย่างไม่ออมแรงเอาไว้ เล็งผลเลิศในการปลิดปลงสังหารฝั่งตรงข้าม

เสียงคมมีดฝ่าอากาศดังขึ้นมาจากด้านหลังของลูท มีดบินสองเล่มลอยคว้างออกจากมือของหญิงสาวที่สะคราญโฉม พุ่งมาด้วยความเร็วสูงประดุจม้าป่า เล่มหนึ่งพุ่งใส่ข้อมือส่วนอีกเล่มหนึ่งพุ่งใส่ใบหน้าของนายทหารแม่นยำราวกับจับวาง นายทหารเห็นภัยจากมีดบินคุกคามจึงไม่กล้าฝืนแทงหอกใส่ลูทต่อไป เขาตัดสินใจละทิ้งหอกคู่มือเพื่อหลบมีดบินเล่มแรก แต่สภาวะกำลังที่เขาแทงออกไปยังคงอยู่ในตัวหอกก่อนจะปล่อยมือ ทำให้หอกพุ่งตรงเข้าหาลูทไม่หยุดยั้ง จากนั้นนายทหารชุดดำก็ใช้ข้อมือซ้ายก็ตวัดปลอกแขนเหล็กกลับมาป้องกันใบหน้าของตนเอง ปัดมีดบีนเล่มที่สองออกไปด้านข้าง ถึงแม้ว่าเขาจะป้องกันตนเองได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้เสียจังหวะไปครู่หนึ่ง

ด้วยการช่วยเหลือของหญิงสาวลึกลับ หอกปลิดชีพก็เปลี่ยนจากการทุ่มแทงออกอย่างสุดแรง เหลือเพียงแรงเฉื่อยที่เกิดจากการปล่อยมือกลางครัน ทำให้พลังการจู่โจมอ่อนโทรมลงไปกว่าครึ่ง ลูทฉวยโอกาสในเสี้ยววินาทีคับขัน เอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที หอกพุ่งเฉียงเฉียงผ่านตัวลูทไปด้วยความหวาดเสียว ปักเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังลึกเข้าไปร่วมสามนิ้ว ลูทถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องลอบคำนึงในใจว่าโชคช่วย วินาทีเมื่อครู่นับว่าเขาก้าวเท้าเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งก้าว

จนถึงบัดนี้บลูที่อยู่ด้านข้างก็ออมแรงจนพอลุกขึ้นยืนไหว เมื่อเห็นนายทหารชุดดำเสียจังหวะจากมีดบินสองเล่ม เขาฝืนใจเกร็งกำลังที่รวบรวมมาทั้งหมดร่ายเอลพสุธากัมปนาท ทำลายพื้นดินที่นายทหารนั้นยืนอยู่ วงแหวนสีเหลืองจางๆเกิดจากเอลที่บลูร่าย แสดงให้เห็นว่าพลังของบลูอ่อนโทรมลงไปมาก แต่อย่างไรก็ตามเอลของบลูกับมีดของหญิงสาวลึกลับคนนั้นทำให้นายทหารชุดดำต้องชั่งน้ำหนักใหม่ การปฏิบัติงานนี้มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอยู่สูง เขาพบว่ามีโอกาสไม่ถึงครึ่งที่จะจัดการคนทั้งสามพร้อมๆกันจึงจำต้องตัดสินใจล่าถอย

นายทหารพุ่งไปหยิบหอกยาวที่ต้นไม้จากนั้นก็กล่าวว่า “ถือว่าพวกเจ้าโชคดี” เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะล่าถอยกลับไปโดยไม่เป็นอันตราย

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งนาทีดูไปช่างน่าหวาดเสียวนัก ความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันถึงเพียงนั้น

เบื้องหน้าที่ไกเห็นเป็นโรงสีข้าวร้างแห่งหนึ่งซึ่งพวกโจรสุนัขป่านำสินค้าที่ปล้นชิงได้มาเก็บรวบรวมไว้

ไกลงจากหลังเจ้าพายุสั่งให้มันรอคอยอยู่ในเขตปลอดภัย จากนั้นจึงค่อยๆหลบสายตาของยามเฝ้าระวังเข้าไปในเขตโรงสีข้าว

หนึ่ง สอง สาม ... ไกพบว่ามียามเฝ้าระวังอยู่เบื้องนอกเป็นจำนวนเจ็ดคน พวกมันทำหน้าที่เดินตรวจตรารอบๆโรงสี เขาสอดส่องสายตาสำรวจที่กำแพงอิฐเบื้องบนก็พบเห็นยามยืนอยู่อีกสามคนรวมเป็นทั้งหมดสิบคนด้วยกัน คนหนึ่งยืนนิ่งเฝ้าอยู่บนระเบียง อีกสองคนเดินตรวจสอบตามระเบียงเฝ้าระวังตลอดเวลา ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทำให้ไกไม่มีโอกาสที่จะหลบสายตาของยามทั้งหมด กระโดดข้ามกำแพงอิฐสูงสองเมตรเข้าไปได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเย็นที่แสงสลัวแล้วก็ตาม

เป็นโชคดีของไกที่มีแมวตัวหนึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงเกิดไหวพริบใช้แผนเบี่ยงเบนความสนใจของทหารยาม ไกงอนิ้วดีดก้อนหินเล็กๆเข้าไปที่แมวตัวนั้น ด้วยแรงดีดของก้อนหินทำให้แมวเจ็บปวด มันวิ่งตะบึงไปด้านหน้าพร้อมกับร้องเมี๊ยวออกมาด้วยเสียงอันดัง

ทหารสามคนที่ยืนเฝ้าระวังบนระเบียงทางฟากของไกเบนความสนใจไปยังแมวนั้นชั่วขณะ เพียงเวลาชั่วขณะเดียวก็เกินพอแล้วที่ยอดฝีมืออย่างไกจะอาศัยแรงดีดจากข้อเท้า กระโดดรวดเดียวข้ามกำแพงที่สูงสองเมตรลอบเข้าประชิดโรงสีข้าวได้สำเร็จ

ไกหลบอยู่ที่กองฟางด้านข้างที่เขาตรวจสอบแล้วว่าจุดอับสายตา ทหารยามด้านหน้าโรงสีและด้านบนระเบียงมองไม่สามารถมองเห็นได้ กองฟางสองสามกองเป็นสิ่งกำบังสายตาจากทหารที่เดินตรวจรอบนอกได้อย่างดี เขาเอาหูแนบโรงสีข้าว ได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันอย่างแผ่วเบา ไกคาดว่าทั้งสองต้องยืนอยู่ด้านในโรงสีห่างจากไกเกินกว่ายี่สิบเมตร ด้านในโรงสียังมีฟางข้าวกันเป็นชั้นๆถึงแม้ว่าจะเป็นชนชั้นที่มีฝีมือเช่นไกก็ไม่สามารถดักฟังคำสนทนาได้

ไกวิ่งปราดไปยังประตูหลังรวบรวมแรงไว้ที่สันมือขวาเมื่อเขาพบว่ามียามเฝ้าอยู่หนึ่งคน ไกรอให้ยามนั้นกวาดสายตาไปอีกทางหนึ่งแล้วจึงพุ่งไปใช้สันมือกระแทกต้นคอของยามเฝ้าประตูหลัง ยามเอามือกุมต้นคอล้มลงอย่างไร้เสียง ไกลากยามที่หมดสติเข้าไปด้านในโรงสีข้าวจัดแจงให้หลบอยู่ที่ด้านหลังกองฟางกองหนึ่ง จากนั้นตัวเขาเองจึงก้าวไปตามเสียงของคนสองคนที่คุยกัน

ไกรู้ว่าปฏิบัติการต่อจากนี้จะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทุกฝีก้าวต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดซุ่มเสียงผิดปกติ หัวหน้าโจรสุนัขป่าราเกซนี้มีฝีมือไม่ใช่ชั่ว พวกมันก่อหวอดอยู่ทางตะวันตกนี้มานานคอยดักปล้นชิงทรัพย์สินหรือสินค้าต่างๆจากพ่อค้าวาณิชย์ที่เดินทางเข้ามาขายทั้งเมืองโอดินและเจนีสเหนือทำให้ผู้คนหวาดหวั่น พ่อค้าทั้งหลายต้องใช้ทรัพย์สินจำนวนมากจ้างกองทหารมาคุ้มกันหรือจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาป้องกัน ราคาของการคุ้มกันจะคิดจากราคาสินค้าทั้งหมดแล้วเพิ่มไปอีกร้อยละยี่สิบทำให้เกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง ชาวเมืองทั้งเจนีสเหนือและโอดินต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

ทางการท้องถิ่นของทั้งสองเมืองเคยนำกำลังล้อมปราบปรามถึงสองครั้งแต่ไม่สามารถกำราบกองโจรกองนี้รวมไปถึงหัวหน้าของมันได้ การจับกุมทั้งสองครั้งต่างก็ถูกกองโจรสุนัขป่าตีสวนกลับย่อยยับอับปรา จนถึงประมาณเดือนก่อนกองปราบท้องถิ่นตัดสินใจเข้าปราบปรามเป็นครั้งที่สาม พวกเขารู้ตัวดีว่าไม่สามารถต่อกรกองโจรนี้ได้จึงแจ้งหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ตรวจการภาค ขอให้มือปราบชั้นหนึ่งอย่างไกมาช่วยเหลือซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมือด้วยดี ทั้งสองฝ่ายเพียรสร้างโอกาสโดยใช้แผนการต่างๆเพื่อทำลายกองโจรสุนัขป่านี้ให้สิ้น การสืบข่าวเป็นไปอย่างยากลำบากจวบจนเมื่อหลายวันก่อน พวกเขาสืบเสาะได้ว่ากองกำลังบางส่วนของโจรสุนัขป่าเตรียมไปดักปล้นชิงทรัพย์พ่อค้าทางถนนที่ติดต่อระหว่างเมืองโอดินและเจนีส

ไกจึงดำเนินการใช้แผนซ้อนแผน ให้ข่าวลวงว่าจะมีพ่อค้ารายใหญ่เดินทางย้ายถิ่นฐานจากเมืองโอดินไปยังเมืองเจนีสนำทรัพย์สินติดตัวไปจำนวนมาก จากนั้นให้มือปราบท้องถิ่นของทั้งสองเมืองปลอมตัวเป็นกองคาราวานพ่อค้าไปตบตา ดึงกำลังส่วนใหญ่ของกองโจรไป ส่วนตัวเขาดำเนินแผนลอบเข้ามาในรังโจรเพื่อปฏิบัติการจับตายหัวหน้าใหญ่ของพวกมัน ดังนั้นขุนโจรราเกซจึงเป็นเป้าหมายที่เขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด

บลูหมดเรี่ยวแรงนอนสลบไสลไม่ได้สติหลังจากที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่บังคับให้อีกฝ่ายล่าถอยไป โชคดีที่นายทหารชุดดำจากไปก่อนจึงไม่เห็นสภาพของบลูในตอนนี้

ลูทวิ่งตรงเข้าไปประคองบลูขึ้นพาดไหล่ หันหน้าไปถามหญิงสาวลึกลับ “ขอบคุณที่เจ้าช่วย ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไร”

หญิงสาวลึกลับตอบว่า “นี่ยังไม่ใช่ที่ที่จะสนทนา พวกเราต้องรีบไปยังหมู่บ้านก่อน” จากนั้นเธอจึงก้มลงเก็บตราสัญลักษณ์ที่ลูททำตกไว้แล้วยื่นให้ “นี่ของเจ้า เก็บไว้ให้ดีแล้วตามข้ามา”

“ขอบคุณ” ลูทใช้อีกมือที่เหลือรับตราสัญลักษณ์มาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วจึงติดตามนางไป

ทั้งสองเดินกลับมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่ลูทเดินวนอยู่สามรอบนั้น ลูทประหลาดใจแต่ก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าจุดที่เค้าเดินสำรวจทำเครื่องหมายเอาไว้นั้นต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน ที่นั่นจะต้องเป็นทางเข้าของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่เขาค้นหาแต่ว่ากลไกการเข้าไปจะเป็นอย่างไรนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาอับจนปัญญา

หญิงสาวหยิบป้ายผนึกสีเขียวเข้มเป็นรูปห้าเหลี่ยมขนาดประมาณฝ่ามือของเธอออกมาจากเสื้อ เธอนำเอาป้ายผนึกชิ้นนั้นวางลงไปบนตอไม้ด้านข้างต้นไม้ใหญ่ที่ลูททำเครื่องหมายเอาไว้ ปรากฏเป็นแสงสว่างสีเขียวเรืองรองขึ้นมาคราหนึ่ง ต้นไม้แถบนั้นต่างก็ขยับกิ่งก้านอย่างน่าอัศจรรย์ แนวไม้รกครึ้มที่ไม่มีทางผ่านก็ได้อันตรธานหายไป เห็นแนวต้นไม้ใหญ่หลายต้นเรียงต่อกันเป็นระยะทางเกือบร้อยเมตร กิ่งไม้ของต้นไม้แต่ละต้นแผ่มารวมกันสร้างเป็นสะพานไม้มีชีวิตขึ้นสะพานหนึ่งในพริบตา เมื่อมองไปสุดปลายสะพ้านไม้ก็จะเห็นเป็นถนนที่ทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านในที่สุด

ลูทยืนอ้าปากตาค้างอยู่ด้านข้างนึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีวิชาปกปิดทางเข้าที่แยบยลถึงเพียงนี้

“ยืนอยู่ที่นั่นทำไม รีบเข้ามาสิ” หญิงสาวหันมากล่าวกับลูทเรียกให้ตามเข้าไปโดยเร็ว

ภาพวิวทิวทัศน์ในหมู่บ้านทำให้ลูทรู้สึกขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูก หมู่บ้านที่เห็นเบื้องหน้านี้กลับเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบเช่นเดียวกับหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ของเขา ชั้นในสุดของหมู่บ้านเป็นบ้านเรือนสิบกว่าหลังคาเรือนทุกหลังเชื่อมต่อกันด้วยถนนเส้นเดียวยาวตรงตั้งแต่ปากทางเข้าจนไปถึงส่วนในสุดของหมู่บ้าน ทางด้านหลังบ้านแต่ละบ้านมีพื้นที่โล่งกว้างเป็นพื้นที่การเกษตรทั้งแปลงปลูกพืชผลไม้หรือการเลี้ยงสัตว์เอาไว้ใช้งานหรือเพื่อรับประทานอาหาร จึงเห็นว่าหมู่บ้านนี้มีเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองได้แม้จะไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอก ชั้นนอกสุดถัดจากแปลงเกษตรและคอกสัตว์เลี้ยงเป็นคลองส่งน้ำที่ขุดล้อมบ้านทุกหลังเอาไว้โดยรอบเปรียบเสมือนมีคูล้อมรอบหมู่บ้านอีกชั้นหนึ่งแต่ที่แบบนี้กลับซ่อนอยู่ในป่าอันรกทึบซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

“เอ่อ ... นี่” ลูทเอ่ยปาก

“ข้าชื่อโรซาไลน์ เรียกสั้นๆว่าโรสก็ได้” หญิงสาวตอบ

ลูทกล่าวขอโทษครั้งหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ข้าชื่อลูท ที่นี่คือหมู่บ้านเงาจันทร์ใช่ไหม”

โรซาไลน์ทำหน้าสงสัยถามกลับไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรน่ะ”

ลูทมีสีหน้ายินดีเมื่อรู้ว่าตนเองมาถึงที่แล้วจึงกล่าวตอบว่า “พอดีพ่อของข้าบอกให้มาทำธุระบางอย่างกับเพื่อนของพ่อที่อาศัยอยู่ที่นี่ ... ว่าแต่นี่พวกเรากำลังจะเดินไปที่ไหน”

โรสตอบว่า “ไปที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านก่อน อยู่ด้านในสุดของถนนหลักเส้นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านเป็นลุงของข้าเอง ... เพื่อนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวหันหน้าไปมองบลูที่หมดสติอยู่บนบ่าของลูท

ลูทมองหน้าบลูที่สลบอยู่คราหนึ่งกล่าวตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันท่าทางมันจะใช้เอลจนหมดแรงเลยสลบไป เจ้าพอจะหาห้องพักให้เขาได้สักห้องไหม”

โรสกล่าวว่า “นั่นไม่มีปัญหา ที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้านมีแพทย์อยู่ท่านหนึ่ง ข้าจะขอให้เขาดูอาการเพื่อนเจ้า ให้ข้าช่วยพยุงเขาอีกแรงหนึ่งดีกว่า”

ลูทกล่าวขอบคุณโรซาไลน์ ทั้งสองช่วยกันประคองบลูรีบเดินไปยังตึกหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ด้านในสุด

เมื่อไกก้าวอย่างไร้เสียงเลียบเคียงเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตระเตรียมหาที่ซ่อนตัวเอาไว้ในระยะลงมือ จุดที่เหมาะสมไม่ควรห่างจากต้นเสียงเกินสิบเมตร

เมื่อเข้าถึงระยะไกก็หยุดอยู่หลังกองฟางข้างเคียง เพื่อฟังคำสนทนาและหาจังหวะลงมือการลงมือลอบจับกุมหัวหน้าโจรรายนี้ พอมาถึงจุดนี้มิใช่ว่าไกจะบุกเข้าจับกุมอย่างผลีผลาม เขาต้องอาศัยจังหวะจะโคนที่ถูกต้องให้ฝั่งตรงข้ามไม่ทันระวังมากที่สุด เพื่อเผด็จศึกในเวลาอันสั้น

ด้วยความสามารถของไกสามารถฟังเสียงที่ห่างในระยะสิบเมตรได้อย่างสบาย แว่วเสียงโจรคนหนึ่งดังมาว่า “ครั้งนี้พวกเราควรจะกวาดทรัพย์มาได้กว่าสามร้อยเหรียญทอง สายสืบรายงานเข้ามาในชั่วโมงก่อนว่าขบวนพ่อค้ารายนี้อ้วนท้วนพอสมควร ท่านรองหัวหน้ายกกองโจรไปเกือบร้อยคน ไม่ว่าขบวนพ่อค้าพวกนั้นมีจำนวนหกสิบกว่าคน ถึงจะจ้างสำนักคุ้มกันภัยมาครึ่งหนึ่งพวกเราก็ยังรับมือได้สบาย ดูท่าพวกเราจะลงมือสำเร็จเป็นแน่แท้”

หัวหน้ากองโจรสุนัขป่าราเกซยิ้มอย่างพึงพอใจ หัวเราะหึหึแล้วกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก ถ้าหากงานนี้สำเร็จด้วยดี ข้าจะให้พวกเจ้าได้รับส่วนแบ่งคนละห้าเหรียญทอง” ลูกน้องคนนั้นดีใจมากจึงรีบขอบคุณหัวหน้าอย่างลนลาน

ขุนโจรราเกซเป็นชายวัยสามสิบกว่าปีไว้หนวดเคราครึ้ม รูปร่างแข็งแรงกำยำปล่อยผมสีดำยาวสยาย ที่ใต้ดวงตามีแผลเป็นจากอาวุธเช่นเดียวกับที่ลำแขน เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นชุดสีดำสวมเกราะสีเงินที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ที่ศีรษะโพกผ้าสีแดงเป็นเครื่องหมายระบุว่าเป็นพวกพ้องเดียวกันเช่นเดียวกับโจรคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าคนทั่วไปมาพบเห็นโดยไม่ได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่ เมื่อดูจากบุคลิกก็รู้ว่าเป็นหัวหน้าโจรทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันใดนั้นมีลูกน้องโจรคนหนึ่งเปิดประตูทางด้านหน้า วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนกล่าวว่า “แย่แล้วท่านหัวหน้า”

ไกตระเตรียมพร้อมฝ่าวงล้อมออกไปในทันที เขาเกรงว่าร่อยรอยของตนเองจะถูกเปิดโปง แผนการที่ตนเองลงทุนลงแรงใช้ความพยายามถึงเกือบเดือนจะต้องมาล้มเหลวในขณะนี้หรือ

ลูกน้องโจรคนนั้นกล่าวต่อไป “สายสืบส่งพิราบสื่อสารมาพร้อมข่าวด่วนว่า พ่อค้าเหล่านั้นเป็นมือปราบปลอมตัวมาขอให้ท่านหัวหน้าส่งกำลังไปช่วยเหลือด่วน มือปราบซุ่มกองกำลังเอาไว้ที่ชายป่าร่วมสองร้อยคน พี่น้องของท่านรองหัวหน้าหลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งกำลังหนีเตลิดมาทางด้านนี้”

“ว่ากระไร” ราเกซตะลึงอยู่สักพักอุทานออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย

ไกเห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดที่หามิได้อีกแล้ว เขาลงมือในบัดดล กระบี่เกล็ดน้ำค้างลอยเข้ามาอยู่ในมืออย่างไร้เสียง เขาคว้าจับด้ามกระบี่ด้วยสองมือพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตระหนก จังหวะที่ราเกซรับรู้ข่าวร้ายเป็นจังหวะที่คลายการป้องกันตัวลง ประสาทสัมผัสต่างๆถูกความตกตะลึงดึงดูดไปวูบหนึ่ง วินาทีนี้จึงเหมาะสมต่อการจู่โจมที่สุด

ราเกซที่เก่งกาจกลับมีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อไกพุ่งเข้าใกล้ ในช่วงระยะห่างสามเมตรมันก็รู้ตัวว่าถูกลอบทำร้าย ชักดาบโค้งขึ้นถือมั่นตวัดกลับหลังไป

เสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง กระบี่ยักษ์ของไกที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง กระทบกับดาบโค้งของราเกซที่รับมืออย่างฉุกละหุก ด้วยสถานการณ์ก็รู้ว่าไกเป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างมาก แต่ไกจะสูญเสียความมีเปรียบได้ทุกเมื่อถ้าโจรลูกสมุนด้านนอกรู้ว่ามีคนบุกเข้ามาแล้วยกกำลังยี่สิบกว่าคนมาล้อมกักเขาเอาไว้ ด้วยแรงของไกที่พุ่งมาทำให้ร่างของราเกซเซถอยหลังไปสองก้าว เอลในร่างปั่นป่วนได้รับความบอบช้ำภายใน

อย่างไรก็ตามมันเองไม่ใช่ว่าได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าโจรเพราะกำลังเท่านั้น มันบุคคลที่มีสมองคนหนึ่ง ในยามคับขันราเกซยังสามารถควบคุมจิตใจวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นได้ เมื่อเจอชนชั้นยอดฝีมือลอบทำร้าย ถ้าหากหลบหนีก็จะทำให้เสียจังหวะตอบโต้โดนรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว นอกจากจะหนีไม่รอดแล้วก็อาจจะบาดเจ็บล้มตายได้ แต่ถ้าต้านรับอยู่สักพักหนึ่งรอให้ลูกน้องตนเองเบื้องนอกเข้ามาช่วยก็จะมีหนทางรอดอยู่บ้าง ดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นจับตัวคนผู้นี้มาเค้นถามเอาข่าวสารที่สำคัญได้ พอราเกซคิดได้เช่นนั้น จึงกัดฟันตอบโต้กลับไปหนึ่งดาบ

ไกพบว่าขนาดเขาทุ่มกำลังจู่โจมโดยอีกฝ่ายไม่ทันระวังตั้งตัว ยังไม่ได้ผลเท่าที่คาดเอาไว้ หัวหน้าโจรรายนี้มีฝีมืออยู่ท่าสองท่าจริงๆ เช่นนี้ต่อให้มือปราบท้องถิ่นล้อมปราบมันอีกสิบครั้งก็คงจะไม่เป็นผลสำเร็จ ครุ่นคิดส่วนครุ่นคิดกระทำส่วนกระทำ ไกคลายมือขวาออกเปลี่ยนเป็นจับกระบี่ด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว เขารวบรวมเอลเอาไว้ในมือขวาเปล่งเป็นแสงสีน้ำเงิน เมื่อเห็นดาบราเกซโต้กลับมามือซ้ายของเขาก็ส่งกระบี่เข้าต้านรับ จังหวะที่กระบี่ปะทะดาบเขาใช้มือขวาแตะไปที่คมกระบี่ยักษ์ ส่งเอลน้ำแข็งซึ่งเป็นเอลระดับสองผ่านไปยังปลายดาบของราเกซ

เอลระดับสองเกิดจากการหล่อหลอมเอลสองประเภทที่ไม่ตรงข้ามกันเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเอลชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่าเอลระดับสอง ยกตัวอย่างเช่นการหล่อหลอมเอลไฟกับเอลลมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเอลสายฟ้า หรือการหล่อหลอมเอลน้ำกับเอลดินเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเอลไม้ ในที่นี้ไกใช้เอลน้ำแข็งซึ่งเกิดจากการหลอมรวมกันของเอลน้ำและเอลลม

ในโลกนี้มีบุคคลพิเศษอยู่ไม่กี่คนที่มีสายเลือดของเอลระดับสองโดยตรง ทำให้สามารถร่ายเอลระดับสองได้โดยไม่ต้องผ่านการหลอมรวมเอลสองประเภทเข้าด้วยกัน นับว่าไกเป็นหนึ่งในบุคคลประเภทนั้น

“มือหิมะ ไก” ราเกซกล่าวอย่างตกใจเมื่อเขาถูกความเย็นแทรกซึม

เอลน้ำแข็งที่ไกใช้เรียกว่าหิมะเยือกแข็ง เอลหิมะเยือกแข็งนี้เป็นเอลที่ทำให้เกิดความเย็นเป็นน้ำแข็งเกาะเข้าที่ตามร่างกาย ทำให้ผู้ที่ถูกเอลแทรกซึมเกิดอาการชาและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ช้าลง เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วว่าราเกซจะต้องดำเนินแผนถ่วงเวลาให้ลูกน้องมาช่วย เขาเตรียมเอลน้ำแข็งเป็นแผนตอบโต้ เมื่อราเกซโดนเอลนี้เข้าไปจึงทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ตามปรารถนาชั่วขณะ

มือของราเกซพลันปรากฏเป็นไอร้อนสีแดงขึ้น เป็นสัญลักษณ์ของเอลที่สี่คือเอลแห่งไฟ ราเกซตั้งใจจะใช้ความร้อนละลายความเย็นซึ่งแผ่ซ่านมาจากท่าหิมะเยือกแข็ง แต่เขาจนใจที่คำนวณผิดไปครั้งหนึ่งคาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถเช่นนี้ เอลแห่งไฟไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้ทันท่วงที เขายังช้าไปอยู่จังหวะหนึ่ง

“สายไปแล้วราเกซ” ไกกล่าว พร้อมกับใช้ตัวกระบี่ยักษ์กระแทกเข้าไปที่ดาบโค้งของราเกซเป็นคำรบสอง พลังความเย็นถ่ายทอดจากมือขวาสู่ตัวกระบี่เกล็ดน้ำค้าง จากตัวกระบี่ยักษ์สู่ดาบโค้ง แทรกซึมผ่านคมดาบเข้าสู่ร่างกายราเกซ ทำให้หัวหน้ากองโจรสุนัขป่ารายนี้กระเด็นไปด้านหลัง ลมหายใจติดขัด เลือดลมเป็นน้ำแข็งขาดใจตายในบัดดล

เมื่อยอดฝีมือเผชิญหน้ากันการคำนวณผิดไปครั้งเดียวอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิต

ในการต่อสู้ครั้งนี้ที่ดูเหมือนว่าจะง่ายดาย แต่ถ้าไกสู้กับราเกซตรงๆฝีมือของขุนโจรก็คงจะไม่เป็นรองมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสังหารราเกซได้แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส จากเหตุการณ์ปัจจุบันแสดงว่าไกพิชิตราเกซด้วยปัญญาโอกาสและโชคอีกเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนพิชิตลงได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไกต้องใช้การวางแผนแรมเดือนกว่าจะสร้างโอกาสให้เขาลอบจู่โจมครั้งนี้ได้

โจรเล็กโจรน้อยที่อยู่รอบข้างยังตะลึงกับการต่อสู้ที่ดุเดือดแต่สิ้นสุดกันเพียงสองกระบี่เท่านั้น หัวหน้าของพวกมันก็ได้ล้มตายลง ฝูงโจรถึงกับไมเชื่อสายตาตัวเอง หวาดกลัวไกราวกับยมฑูต พวกมันแตกฮือกันออกไปรอบด้าน ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสี่ยงตายมาสู้กับไกเพื่อแก้แค้นแม้สักรายเดียว นี่เรียกว่ามิจฉาชีพคงอยู่ร่วมกันเพียงผลประโยชน์เบื้องหน้าถ้าขาดผู้นำก็ไม่มีผู้ใดจะเอื้อประโยชน์ให้ พวกมันไม่มีความจงรักภักดีต่อขุนโจรราเกซแต่อย่างใด เพียงแต่จงรักภักดีต่อเงินทองเหรียญกษาปณ์เท่านั้น พอหัวหน้าสิ้นพวกมันก็ชิงหนีเอาตัวรอดกระจัดกระจายกันไปทุกทิศทุกทาง

ไกอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีออกจากโรงสีข้าวทางด้านหลัง ผิวปากเรียกเจ้าพายุมารับ ขี่เจ้าพายุเดินทางกลับไปยังเมืองเจนีสเหนือเพื่อสมทบกับพวกมือปราบท้องถิ่น ภารกิจนี้ก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี

ลูทและโรสช่วยกันพยุงบลูมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหมู่บ้าน สุดถนนหลักเป็นลานวงกลมใหญ่ ตรงกลางมีบ่อน้ำเอาไว้สำหรับใช้สอย ด้านข้างประดับประดาด้วยต้นไม้รายรอบบ่อดูสวยงามยิ่ง

ตึกที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงตึกเดียวในหมู่บ้านที่ปลูกหันหน้าเข้าหาทางเข้าหมู่บ้าน ตั้งฉากกับบ้านเรือนหลังอื่นๆ นอกจากตึกหลังนี้อาคารหลังอื่นจะปลูกเรียงรายอยู่ทางด้านซ้ายขวาของถนนสายหลัก ข้างหลังตึกนี้ปลูกสร้างไว้ด้วยกังหันน้ำขนาดใหญ่ คอยขับดันส่งน้ำไปหล่อเลี้ยงแปลงเกษตรแก่ครัวเรือนทั้งหลาย

“โรสกลับมาแล้วท่านลุง” โรซาไลน์กล่าวพร้อมกับเปิดประตูเข้าตึกที่อยู่ในสุดไป

ภายในห้องโถงใหญ่ยืนไว้ด้วยบุคคลสามคน คนกลางที่ยืนอยู่คือหัวหน้าของหมู่บ้านนี้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือลุงของโรซาไลน์ หัวหน้าหมู่บ้านอายุราวห้าสิบปี ผมบางส่วนของเขาเป็นสีขาวแต่ส่วนใหญ่ยังเป็นสีดำอยู่ ท่าทางองอาจกล้าหาญถ้าดูอย่างเผินๆก็จะรู้สึกว่ามีอายุราวชายวัยกลางคนเท่านั้น เขายังสวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าเนื้อดีไม่พกพาอาวุธใดๆแล้วกอปรด้วยราศีชนิดหนึ่ง

คนทางซ้ายเป็นชายหนุ่มผมสีทองอายุไม่เกินสิบแปดปีผิวขาวหน้าตาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เขาสวมเสื้อผ้าสีเทาที่พวกแพทย์ชอบสวมใส่กันยืนสำรวมอยู่ในห้อง ส่วนคนทางขวาเป็นชายชราผมขาวอายุน่าจะเกินหกสิบปีแล้ว ดูท่าทางจะเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพราะอิริยาบถทั้งหลายรวมทั้งชุดที่สวมใส่ล้วนบ่งบอกว่าเป็นแพทย์มานานหลายทศวรรษ

“เป็นอย่างไรบ้างหลานโรส … อ๊ะ ... นั่นคนเจ็บนี่” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวพลางหันหน้าไปทางชายชราผมขาวกล่าวสืบต่อว่า “ท่านหมอวี รบกวนแล้ว”

ชายชราคนนั้นกล่าวตอบอย่างเป็นกันเองว่า “ด้วยความยินดีท่านกอร์ดอน” พลันสั่งให้คนรับใช้สองคนมาช่วยแบกบลูไปยังห้องพยาบาล แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามไปก็เห็นบาดแผลของลูทที่ปรากฏอยู่ตามร่าง เขาสั่งให้ลูทนั่งลงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งนำสมุนไพรและตัวยาสมานแผลมาทาให้ลูท

“พี่โรสไม่เป็นไรใช่ไหม” เด็กหนุ่มคนทางซ้ายกล่าวกับโรซาไลน์ เธอส่ายหน้าบอกน้องชายว่าไม่เป็นอะไร

หลังจากลูทมองดูพวกคนรับใช้รวมทั้งแพทย์ชราผู้นั้นรับตัวของบลูไปก็โล่งใจในระดับหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านทำความเคารพคราหนึ่งกล่าวว่า “ขอบพระคุณมากท่านลุงกอร์ดอน ผู้เยาว์ชื่อว่าลูทเป็นลูกของแม๊กซ์ ออร์นิเทียจากหมู่บ้านสวนเชอร์รี่”

กอร์ดอนซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเพื่อนเก่าของพ่อลูทจึงหัวเราะด้วยความยินดีแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นลูกของแม๊กซ์เองหรือนี่ ดูจากรูปร่างหน้าตาเจ้าช่างเหมือนพ่อเจ้าตอนหนุ่มๆไม่มีผิดเพี้ยน แล้วแม๊กซ์ยังเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

ลูทกล่าวตอบว่า “ท่านพ่อสบายดี ท่านได้รับหมายแต่งตั้งจากคณะปกครองให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ท่านฝากความคิดถึงมาถึงท่านลุงกอร์ดอนด้วย”

กอร์ดอนตอบรับคราหนึ่งพลางแนะนำเด็กหนุ่มคนทางซ้ายให้รู้จัก “นี่บีท เป็นน้องชายคนเดียวของโรซาไลน์ เขากำลังเรียนวิชาแพทย์เป็นศิษย์ของท่านหมอวีที่รับตัวเพื่อนของเจ้าไปเมื่อครู่” พอพูดจบชายหนุ่มทั้งสองก็ทักทายกันคราหนึ่ง

กอร์ดอนหันไปถามไรซาไลน์ว่า “เมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมพ่อหนุ่มคนนั้นถึงได้บาดเจ็บมา” พร้อมทั้งสั่งให้บีทไปช่วยท่านหมออีกแรงหนึ่ง แพทย์ฝึกหัดบีทรับคำแล้วจึงจากไป

โรสเริ่มเล่าว่า “โรสได้ยินเสียงระเบิดคราหนึ่ง มองไปดูก็เห็นเอลสีเหลืองพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจึงออกไปตรวจสอบ บังเอิญพบกับลูทที่เดินทางมาอยู่แถวนั้น หลังจากนั้นไม่นานบลูเพื่อนของลูทก็ถูกอัศวินดำไล่ล่าตามมาเกิดการปะทะกันขึ้น พวกเราทั้งสามร่วมมือกันขับไล่อัศวินดำผู้นั้นจนล่าถอยไป ส่วนบลูฝืนใช้เอลจนเกินตัวทำให้สลบไสลไม่ได้สติไป”

กอร์ดอนทำท่าครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า “อัศวินดำอย่างนั้นหรือ ... พวกมันเป็นหน่วยรบพิเศษของอาณาจักรนอร์ เรียกได้ว่าเป็นหน่วยรบที่เก่งกาจที่สุด พวกเจ้าทั้งสามสามารถขับไล่มันกลับไปได้ก็ถือว่าโชคดีอยู่บ้าง เจ้าพอจะจำรูปร่างหน้าตาของอัศวินดำคนนั้นได้ไหม”

ลูทตอบอย่างฉะฉานว่า “เขาเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลแดง อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี รูปร่างสมส่วน ใส่ชุดสีดำยาวปกคลุมทั้งร่างกาย ผ้าที่นำมาตัดเป็นชุดนั้นไม่ระคายคมดาบคมกระบี่ รูปแบบเสื้อผ้ารวมไปถึงการตัดเย็บก็แตกต่างจากนายทหารนอร์ทั่วไป เขาใช้หอกยาวเป็นอาวุธและที่แขนซ้ายก็สวมปลอกแขนเหล็ก”

กอร์ดอนตอบว่า “ถ้าเด็กขนาดนั้นข้าคงไม่รู้จัก สงสัยอัศวินดำรุ่นข้าคงเลื่อนขั้นกันไปหมดแล้ว ถ้ายังหลงเหลืออยู่ก็ถือว่าดักดานเต็มทน แต่ดูจากอาวุธคือหอกกับปลอกแขนนั้นสามารถกล่าวว่าจะต้องเป็นหนึ่งในอัศวินดำแน่นอน” จากนั้นกอร์ดอนจึงชวนลูทและโรซาไลน์นั่งลงบนโต๊ะสนทนา

กอร์ดอนเล่าสืบต่อว่า “อัศวินดำในยุคสมัยหนึ่งๆจะมีอยู่ทั้งหมดเก้าคน มีอยู่คนหนึ่งในสมัยข้าที่ใช้อาวุธเหมือนกับที่พวกเจ้ากล่าวมา คนพวกนี้เป็นองค์กรลับทำหน้าที่เป็นหน่วยสืบราชการโดยมีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งและลูกน้องอีกแปดคน หัวหน้าอัศวินดำจะรับมอบหมายภารกิจต่างๆโดยตรงจากสามผู้ปกครองอาณาจักรนอร์โดยไม่ขึ้นกับกองทัพใดๆ แต่มีอำนาจเต็มในการสั่งการทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ในสมัยก่อนที่ลุงยังหนุ่มก็เคยทำความรู้จักกันมาบ้าง”

ลูทนึกถึงคำว่าทำความรู้จักกันมาบ้างก็เดาว่าคงไม่พ้นเรื่องการต่อสู้ แต่เมื่อไม่เห็นกอร์ดอนเล่าต่อจึงไม่สะดวกกับการไต่ถาม

โรซาไลน์ถามขึ้นมาว่า “ลูท เจ้ารู้จักอาจารย์ดาธด้วยหรือ”

ลูทตอบว่า “ใช่ เขาเป็นอาจารย์ของข้าเอง”

โรซาไลน์มีสีหน้าผิดปกติเล็กน้อย ลูทนึกขึ้นได้จึงกล่าวตอบไปว่า “ท่านอาจารย์ดาธน่ะไม่ได้สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าหรอก ท่านเพียงแต่สอนวิชาประดิษฐ์แล้วก็การดนตรี ส่วนวิชากระบี่ข้าพเจ้าร่ำเรียนจากบิดาได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของท่าน” โรสพยักหน้าตอบรับคำว่าเข้าใจแล้วกล่าวขอโทษลูทที่เข้าใจผิดไป

ลูทนึกถึงสิ่งที่พ่ออยากจะให้ขอความช่วยเหลือจากกอร์ดอนจึงกล่าวว่า “ท่านลุงกอร์ดอน ท่านพ่อมอบหมายให้ข้ามาที่หมู่บ้านเงาจันทร์นี้ เนื่องจากข้าจะต้องสืบเสาะยอดศาสตราวุธทั้งสิบหกตามรอยของท่านพ่อจึงอยากจะให้ท่านลุงช่วยแนะนำวิชาพิเคราะห์สิ่งของและกลไกแก่ข้าด้วย เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของท่านพ่อ”
กอร์ดอนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “ข้าเห็นเจ้าก็ทราบแล้วว่าแม๊กซ์ส่งเจ้ามาหาข้าทำไม สมัยก่อนแม๊กซ์กับข้าออกพเนจรด้วยกันเพื่อสืบหายอดศาสตราวุธทั้งหลาย แต่ก็เกิดสงครามขึ้นก่อนการเดินทางครั้งนั้นก็เลยต้องสิ้นสุดลง หลังสงครามบ้านเมืองก็วุ่นวายมีหลายเรื่องที่ทั้งข้าและแม๊กซ์จะต้องสะสางก็ไม่มีเวลาอีก ข้ารับปากว่าจะช่วยเจ้าแต่ในรายละเอียดนั้นเอาไว้ว่ากล่าวกันในภายหลัง”

ขณะนั้นเองมีเสียงตึกตักดังมาจากทางห้องที่หมอวีพาบลูเข้าไป

บีทที่วิ่งกระหืดกระหอบมากล่าวว่า “แย่แล้ว เพื่อนของท่านอาการทรุดหนัก”

------------------------------------------------

ถ้าหากมีข้อติชมอันใดโปรดเขียนใน "ความคิดเห็น" นะครับ ทางผู้เขียนจะลงตอนที่สามในวันที่ 30 เมษายน 2550 ครับ

Legend of El, Episode I, Chapter I

ภาควิกฤตก่อกำเนิด
ตอนที่ 1 พรมแดนสองอาณาจักร
1 กุมภาพันธ์ อศ. 226

“เริ่มหิวแล้วนะเนี่ย ...” เสียงท้องร้องของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงคนหนึ่งดังขึ้น

“ท่าทางป่านี้ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ” เขาบ่นพึมพำกับตนเองแต่ก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ มือซ้ายปัดป่ายต้นไม้ มือขวากุมอุปกรณ์ที่สามารถเป็นทั้งนาฬิกาและเข็มทิศได้ขึ้นมาดู เขาพิจารณาอยู่สักพักจึงมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกอีกครู่หนึ่ง

“ปัดโธ่เว้ย” เขาเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อเห็นต้นไม้ต้นเดิมที่เขาทำเครื่องหมายเอาไว้เป็นรอบที่สาม สภาพรอบข้างของเขาล้วนเป็นป่ารกทึบซึ่งสังเกตได้ว่าปราศจากร่องรอยของผู้คนมานานแล้ว

เขาหยุดยืนตรงต้นไม้ใหญ่นั้นอีกครั้ง พร้อมกับล้วงเอาแผนที่ออกมาจากกระเป๋าสัมภาระที่สะพายติดตัวอยู่ด้านหลังขึ้นมาอย่างครุ่นคิด

เมื่อมองเขาจากมุมนี้แล้วจะเห็นว่าเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเศษ เส้นผมสีน้ำตาลแดงตัดเป็นทรงสั้น ผิวค่อนข้างไปทางขาว รูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กถือว่าเป็นเกณฑ์มาตรฐานของผู้ชายทั่วไปในสมัยนี้ หน้าตาของเขาไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อเลิศแต่เมื่อมองลงลึกไปก็จะเห็นถึงความเข้มแข็งองอาจที่แฝงอยู่ โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ฉายความรู้สึกเด็ดเดี่ยว คิ้วที่แฝงความดื้อรั้นอยู่บ้าง เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวเมื่อสองวันก่อนซึ่งในตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยจะเป็นสีขาวเท่าใดนัก เนื่องจากผ่านการเดินทางมาเป็นระยะเวลายาวนาน

เขาใช้ความคิดกับตัวเองแล้วทบทวนอีกครั้งว่า “เมื่อวันก่อนข้าเดินทางมาถึงชายป่าเขตชายแดนต่อกันระหว่างอาณาจักรนอร์และอาณาจักรลาเวนดิส จากนั้นมุ่งหน้าลงใต้ตามถนนเชื่อมระหว่างเมืองมาเรื่อยๆ ในขณะนี้ก็ควรจะเข้ามาในเขตแดนของลาเวนดิสได้แล้ว จากจุดนั้นก็มุ่งหน้ามาทางตะวันออกเป็นเวลาอีกประมาณสามชั่วโมงก็ถึงชายป่า ดูไปดูมาจากแผนที่นี่จริงๆถ้าเดินตัดป่าตรงนี้เข้าไปอีกไม่เกินสามชั่วโมง ข้าก็ควรจะถึงหมู่บ้านแล้วนี่นา” ... แต่ความจริงนั้นเขาใช้เวลาเดินทางเกินกว่าครึ่งวันแล้ว …

สถานที่ที่เขาเหยียบอยู่ ณ บัดนี้คือจุดที่ทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงในแผนที่ ซึ่งควรจะเป็นที่อยู่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ที่เขาตามหา แต่พอเขาเดินมาถึงจุดกากบาทกลับไม่พบหมู่บ้านตามที่คาดคิด

จากสภาพการณ์เบื้องต้นเบื้องต้นเขาจึงคาดเดาเปะปะเอาว่าแผนที่นี้น่าจะเก่าเกินไปจนไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน เขาจึงเดินวนรอบพื้นที่ละแวกนี้เพื่อหาทางเข้าหมู่บ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนเสบียงที่เขานำติดตัวมาก็หมดไป

“เฮ้อ ...” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็นั่งยองๆ ลงที่ริมต้นไม้ใหญ่ ต้นที่เขาทำเครื่องหมายเอาไว้ จากนั้นจึงสงบจิตสงบใจสักครู่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และถือเป็นการพักเหนื่อยไปในตัว

พอจิตใจสงบลงอารมณ์ที่ขุ่นมัวก็เริ่มจางหายไป สติปัญญาก็เริ่มแจ่มใส เขาจึงย้อนคิดทบทวนไปถึงเวลาเมื่อสองวันก่อน ตอนที่บิดาของเขามอบหมายให้เขามาที่นี่ เผื่อว่าจะมีรายละเอียดบางอย่างหรือถ้อยคำบางคำที่เขาตกหล่นไปบ้าง

สองวันก่อน ณ หมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกในเขตของนครมิสต์

หมู่บ้านสวนเชอร์รี่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกเชอร์รี่ขายเป็นอาชีพหลัก ตรงตามชื่อเรียก ชาวบ้านทั้งหลายอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะไม่มีโจรผู้ร้ายหน้าไหนกล้าเข้ามาก่อเหตุในเขตการปกครองของนครมิสต์ อาณาเขตภายในของนครมิสต์ถือว่าเป็นดินแดนที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในผืนแผ่นดิน

“ลูท ลงมานี่หน่อย พ่อมีอะไรอยากจะให้ช่วย” เสียงชายวัยกลางคนตะโกนเรียกเขาจากชั้นล่าง

ลูทกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานชั้นบน จึงตะโกนรับคำไปว่า “ครับพ่อ”

พ่อของเขาเป็นคนที่มีรูปร่างแข็งแรง อายุประมาณสี่สิบกว่าปี ทำหน้าที่เป็นครูฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตัวให้กับกองกำลังปกป้องหมู่บ้าน และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นนายพรานตัวฉกาจอีกด้วย บ้านที่ครอบครัวออร์นิเทียอาศัยอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้นที่มีอายุกว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่ลูทเกิดจนโตเป็นหนุ่ม หน้าบ้านมีลานกว้างเป็นสนามหญ้า ด้านหลังเป็นสวนเชอร์รี่เล็กๆ ที่เขาและพ่อของเขาปลูกเป็นธรรมเนียมในหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ด้านข้างบ้านของเขามีเรือนเล็กๆปลูกไว้หลังหนึ่ง เรือนหลังนี้ถูกใช้เป็นห้องเก็บของ ภายในใส่อุปกรณ์ต่างๆ นานาที่พวกเขาใช้ยามออกไปล่าสัตว์

ลูทเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อพบกับพ่อ มือของเขายังถือหนังสือการประดิษฐ์เล่มหนึ่ง ขณะที่เดินลงมาชั้นล่างสายตาของลูทยังไม่ยอมละออกจากหนังสือสักวินาทีหนึ่ง พอลูทเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็พบว่าพ่อของเขานั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะรับแขก

ลูทได้ยินเสียงพ่อของเขากล่าวว่า “นั่งลงตรงนี้สิลูท พ่อมีอะไรจะคุยด้วย” พ่อกวักมือเรียกลูทเข้าใกล้พร้อมกับหยิบของขึ้นมาสองสิ่ง กล่าวต่อไปว่า “นี่ลูท ลูกจำได้ไหมว่าหนังสือเล่มนี้คืออะไร”

ลูทไม่เคยเห็นพ่อจะคุยอะไรจริงจังกับตนเองเหมือนเช่นนี้สักครั้งจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง เขามองหนังสือปกสีเทาเล่มนั้นอยู่สักพักก็จดจำได้ ลูทจึงกล่าวตอบพ่อของเขาไปว่า “จำได้ครับพ่อ มันเป็นหนังสือที่เก็บรวบรวมรายชื่อและรูปศาสตราวุธเอาไว้ เห็นว่ามีอยู่หลายสิบชิ้น”

พ่อของเขายิ้มออกเมื่อลูกชายของตนจดจำหนังสือเล่มนี้ได้ หนังสือที่เขาทุ่มเททั้งหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจเขียนมันขึ้นมากับมือ พ่อจึงตอบว่า “ใช่แล้วลูก เมื่อสมัยพ่อยังหนุ่มพ่อมีความตั้งใจอยากจะรวมรายละเอียดของศาสตราวุธที่ถือเป็นสุดยอดของแผ่นดินเอาไว้ แต่ในยุคนั้นเกิดสงครามขึ้นพ่อจึงไม่สามารถทำได้ นี่ลูกก็โตแล้วพ่อจึงอยากจะให้ลูกช่วยสานต่อความฝันของพ่อให้เป็นจริง … เมื่อวันก่อนพ่อได้รับสารแต่งตั้งจากคณะปกครองมอบอำนาจให้พ่อเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้แทนที่ท่านฮาเบอร์ที่จะเกษียณตัวเองไป พ่อรู้ตัวว่าจะต้องอยู่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ไปอีกนานคงจะไปไหนไม่ได้เหมือนอย่างแต่ก่อนอีก”

หมู่บ้านสวนเชอร์รี่แห่งนี้ไม่มีเพทภัยใดๆรบกวนมานานกว่ายี่สิบปี ลูทเองทราบว่าในอดีตพ่อของเขาเคยเป็นทหารมาก่อนแต่ออกจากราชการมาใช้ชีวิตสงบสุขอยู่กับแม่ หัวหน้าหมู่บ้านจึงไหว้วานให้พ่อเขาช่วยฝึกสอนเด็กหนุ่มหลายสิบคนเพื่ออย่างน้อยก็จะได้ป้องกันพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยและมิจฉาชีพต่างๆได้ ทั้งๆที่แทบจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเลย

ความจริงลูทเองเคยเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านดูหลายครั้งและก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับยอดศาสตราวุธทั้งหลาย เพียงแต่เขาไม่เคยได้พบเห็นของจริงจึงยังไม่ทราบถึงความวิเศษของยอดศาสตราวุธเหล่านี้ ความตื่นเต้นสงสัยที่เขามีต่อของพวกนี้ก็ลดลงไป จนมาถึงวันนี้ที่พ่อเอ่ยปากถาม ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็กลับมาอีกครา

อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจครั้งนี้คือความเป็นบุตรกตัญญูจึงอยากส่งเสริมปณิธานของบิดาตัวเอง ลูทครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งจึงตอบตกลงกับพ่อของเขา

ลูทถามว่า “แล้วอย่างนี้ลูกจะต้องไปเริ่มหาจากที่ไหน”

พ่อตอบไปว่า “ความจริงแล้วมันสมควรจะมีทั้งหมดสิบหกยอดศาสตราวุธพ่อรวบรวมไว้ได้เพียงสิบสี่ชิ้นเท่านั้น ความรู้ที่พ่อบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนซึ่งในเวลานี้อาจจะมีศาสตราวุธที่ดีกว่าปรากฏขึ้นมาก็เป็นไปได้ ลูกก็ควรจะศึกษายอดศาสตราทั้งสิบสี่ชิ้นที่พ่อเคยรวบรวมมาแต่อย่างไรก็ตามลูทก็ควรที่จะจัดเรียงใหม่ด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ลูกมีความรู้เพียงพอลูกถึงจะได้มีความคิดอ่านแยกแยะว่าอะไรควรจะเป็นสิ่งที่ควรจัดว่าอยู่ในยอดศาสตราบ้าง”

ลูทกล่าวตอบว่า “ลูกก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับพ่อ สมัยก่อนอาจารย์ดาธสอนวิชาพิเคราะห์และประดิษฐ์สิ่งของให้กับลูกเช่นกัน ถึงตอนนี้ก็คิดว่าสมควรจะเป็นเวลาที่ได้ใช้มัน”

พ่อหัวเราะสักพักเอามือชี้ไปที่หนังสือของลูทที่วางอยู่ด้านข้างแล้วจึงกล่าวว่า “ลูกไม่ใด้ใช้มันอยู่ทุกวินาทีหรอกหรือ ของประหลาดที่ลูกทำออกมาเสียบ้างดีบ้างเต็มห้องไปหมด พ่อต้องขนออกไปทิ้งเสียหลายครั้ง”

ลูททำหน้าตาพิกลเมื่อถูกพ่อสัพยอก เขามองดูหนังสือประดิษฐ์เล่มที่เขาถือติดมือมา

จากนั้นพ่อจึงกล่าวต่อไปด้วยความจริงจังว่า “จงจำไว้ว่าอย่าได้ลืมสิ่งที่ดาธเคยสั่งสอนเป็นอันขาด อาจารย์เจ้าเป็นหนึ่งในยอดคนและเป็นสหายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพ่อ พ่อถึงได้ฝากให้มันสอนวิชาให้กับลูก”

“ครับพ่อ” ลูทตอบอย่างแข็งขัน

จากนั้นพ่อก็หยิบสิ่งของอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาออกมาจากกล่อง มันเป็นเป็นแผนที่เก่าๆที่ตัวหนังสืออาจจะเลอะเลือนไปบ้างแต่สภาพส่วนใหญ่ก็ยังสมบูรณ์ดีอยู่จึงต้องจับต้องด้วยความระมัดระวัง

พ่อกล่าวว่า “ลูกมาดูนี่ นี่คือแผนที่ของหมู่บ้านเงาจันทร์ หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของเพื่อนเก่าพ่ออีกคนหนึ่งซึ่งลูกก็เคยเจอเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนแต่พ่อคิดว่าลูกคงจำไม่ได้หรอก เพื่อนพ่อคนนี้ชื่อว่ากอร์ดอน เขามีความเชี่ยวชาญกับวิชาประวัติสิ่งของเป็นอย่างมาก เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าของชิ้นนั้นมีค่ามหาศาลหรือว่าเป็นของปลอมที่ไร้ค่า โดยเฉพาะวิชาประเภทกลไกกับดักทั้งหลายที่เขาทำลายมานักต่อนักเมื่อยามเป็นนักล่าสมบัติ พ่ออยากจะให้ลูกไปปรึกษาเขาเกี่ยวกับสถานที่ที่ลูกจะต้องไปในการสืบเสาะหาศาสตราวุธทั้งสิบสี่ชิ้น ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เขาสอนวิชาหลบหลีกทำลายกลไกกับดักเสียได้ก็ดี จำไว้ให้มั่นกากบาทสีแดงนี่คือตัวหมู่บ้าน อยู่ตรงรอยต่อระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิสพอดี โดยจะอยู่ในป่าลึกเข้าไปประมาณสิบกิโลเมตร ถ้าเดินจากชายป่าตรงลาเวนดิสเข้าไปลูกจะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง”

ลูทรับแผนที่มาพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเราก็เดินไปตามทางของลาเวนดิสแล้วก็ตัดตรงเข้าป่าได้น่ะสิพ่อ”

พ่อตอบว่า “ไม่ได้ เส้นทางนั้นอันตรายมาก เจ้าอาจจะพบกับสัตว์ร้ายที่เจ้าคิดไม่ถึง จริงอยู่ว่าเส้นทางนั้นอาจจะใกล้กว่าแต่มันไม่คุ้มกับความเสี่ยง ต่อให้เป็นพ่อเองเจอกับสัตว์ร้ายตัวนั้นยังตึงมือเจ้าเองรับรองว่าไม่ไหว อย่าลืมว่าเพราะสัตว์ร้ายพวกนี้ที่ทำให้แม่ของเจ้าต้องด่วนจากโลกนี้ไป”

สิบกว่าปีก่อนแม่ของลูทสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงพึ่งจะหายจากไข้มาไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวของเขาเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองข้างเคียงแต่ด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยกลับเกิดเจอสัตว์ดุร้ายเป็นงูพิษยักษ์พ่นไอพิษใส่พวกเขา

ถึงพ่อเขาจะจัดการกับงูยักษ์นั้นได้แต่ในที่สุดแม่ของลูทก็อยู่ได้อีกไม่นาน ต่อมาอีกราวปีเศษๆ แม่ของลูทพอเลี้ยงเขาได้จนถึงอายุหกขวบก็เสียชีวิตลง จากนั้นมาเขาต้องอยู่ด้วยกันสองคนกับพ่อมาตลอด อย่างไรก็ตามลูทก็ไม่ได้เป็นเด็กขาดความอบอุ่นแต่อย่างใดเพราะผู้คนในหมู่บ้านนี้รักใคร่กลมเกลียวคอยดูแลลูทเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

ลูทเอ่ยปากถามพ่อว่า “ว่าแต่ พ่อจะต้องไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

พ่อตอบว่า “มะรืนนี้ลูก คาดว่าพรุ่งนี้เช้าพ่อจะต้องเดินทางเข้านครมิสต์ไปรับตราแต่งตั้งจากคณะปกครองและในตอนนั้นเราคงจะต้องแยกกัน ลูทเจ้าก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว พ่อวางใจในตัวลูก” พอกล่าวจบก็ตบไหล่ลูทด้วยความหวังดี

ลูทรับของทั้งสองสิ่งมาแล้วก้มลงทำความเคารพพ่อของเขากล่าวว่า “ผมจะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง”

คืนวันนั้น ณ ประตูเมืองทางด้านใต้ของเมืองเจนีสเหนือ อาณาจักรนอร์ รถม้าโดยสารคันหนึ่งแล่นออกมาทางถนนด้านทิศใต้ของตัวเมือง ผ่านประตูเมืองและทหารที่เฝ้ารักษาเมืองอย่างเร่งร้อน

แสงจากโคมไฟริมถนนดวงสุดท้ายก็ค่อยๆจางลงเมื่อรถม้าแล่นผ่านไปไกลขึ้นเรื่อยๆจนลับสายตา ชายหนุ่มคนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถอยู่ทางด้านหน้าพยายามบังคับม้าอย่างรีบด่วน มุ่งหน้าไปยังทิศใต้ซึ่งเป็นพรมแดนของอาณาจักรลาเวนดิส

ชายหนุ่มที่ขับรถมีผมสีน้ำเงินเข้มเกือบจะดำ นัยน์ตาของเขาก็มีสีเดียวกันกับสีผม เขาเป็นคนที่มีรูปรางสูงกว่าคนปกติเล็กน้อย ผมของเขาปลิวไปตามสายลมที่ปะทะมาจากเบื้องหน้า ชุดที่สวมใส่กลับเป็นชุดดำสนิทสวมคลุมทับชุดด้านในของเขาซึ่งเป็นสีครามและขาว ใบหน้าของเขาหล่อเหลาคมคาย หากถอดชุดดำออกแล้วมองดูจะเห็นว่าเป็นเสมือนบัณฑิตนักศึกษารูปงามคนหนึ่ง

เมืองเจนีสมีแม่น้ำเจนีสไหลผ่ากลางแบ่งออกเป็นสองซีกคือเหนือและใต้ ซีกทางเหนือแม่น้ำเจนีสเป็นเขตแดนของอาณาจักรนอร์ส่วนซีกทางด้านใต้แม่น้ำเจนีสเป็นดินแดนของอาณาจักรลาเวนดิสเชื่อมกันด้วยสะพานแห่งหนึ่ง ระยะทางระหว่างตัวเมืองเจนีสเหนือและสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ห่างกันเกือบสิบกิโลเมตร ตรงสะพานข้ามแม่น้ำจะมีจุดตรวจหนังสือเดินทางและกองทหารรักษาชายแดนของสองประเทศควบคุมอยู่ตลอดเวลา

มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้าว่า “บลู ข้าจะลงตรงนี้ชักนำศัตรูไปอีกทิศหนึ่ง”

ชายหนุ่มที่ขับรถตะโกนตอบว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้เนส เจ้าหนีไม่รอดแน่”

เนสตอบว่า “ถ้าพวกเราแยกกันหลบหนีอาจจะมีโอกาสรอดอยู่บ้างถึงแม้มันจะน้อยก็ตาม แต่ถ้าไปกันสองคนแบบนี้พวกเรากลับไม่มีหนทางรอดอยู่เลย จะอย่างไรก็ตามทหารของนอร์ต้องติดตามมาทันภายในสิบนาทีนี้ ม้าของเราบรรทุกคนสองคนและต้องรับภาระลากรถด้วย ไม่มีทางหนีทหารที่ควบม้าเร็วได้แน่นอน”

บลูนิ่งไปสักพักจากนั้นจึงตอบว่า “เราแยกกันก็ได้ แต่คนที่ล่อพวกทหารไปอีกทางต้องเป็นข้าไม่ใช่เจ้า”

เนสกำลังจะตะโกนเถียงกลับไปพลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาจากระยะไกลจึงกล่าวว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้”

บลูกล่าวตอบอย่างเร่งด่วนว่า “ไม่มีเวลาแล้วเจ้ามาบังคับรถแทนข้า พบกันที่เจนิสใต้ขอเพียงถึงที่นั่นพวกเราจะมีหนทางรอด” พอพูดจบบลูก็กระโดดจากหลังม้าลงสู่ข้างทาง

เนสเห็นดังนั้นจึงปีนออกมาจากตัวรถกุมบังเหียนม้าเอาไว้แล้วโยนของออกมาชิ้นหนึ่ง เขาตะโกนบอกบลูว่า “เก็บรักษาไว้ให้ดี”

บลูรับของชิ้นนั้นไว้ปรากฏว่าเป็นสมุดที่พวกเขาทั้งสองคนพยายามคุ้มกัน เขาความจริงอยากจะให้เนสนำติดตัวไปด้วยแต่ก็ทราบว่าเหตุการณ์คับขัน ไม่มีเวลาเกลี้ยกล่อมเนสอีก จึงวิ่งเตลิดเข้าป่าด้านข้างไป

ป่าแห่งนี้มีทางเชื่อมกันระหว่างอาณาจักรนอร์และลาเวนดิส แม่น้ำเจนีสเป็นพรมแดนกั้นขวางระหว่างดินแดนของสองประเทศ ตอนเหนือของแม่น้ำจะเป็นดินแดนของนอร์ ส่วนตอนใต้จะเป็นเขตของลาเวนดิส แต่ทางเดินในป่าสายนี้ไม่มีคนใช้มานานแล้ว หนทางรกร้างและเต็มไปด้วยวัชพืช

ในป่าแห่งนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งของแม้น้ำเจนีสที่แคบเป็นพิเศษ ซึ่งสมัยสงครามเมื่อนยี่สิบห้าปีก่อนมีการสร้างสะพานไม้เล็กๆเอาไว้เดินทาง ช่วงนั้นสะพานหลักข้ามแม่น้ำเจนีสถูกปิดตาย เหล่าทหารจึงต้องอาศัยการสร้างสะพานไม้ในป่าข้ามไปตีเมืองเจนีสใต้แทน ตัวบลูเองก่อนที่จะรับภารกิจนี้ได้ศึกษาภูมิประเทศเหล่านี้เป็นอย่างดี คาดว่าหากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงฉุกเฉินจะใช้เส้นทางลับในป่าแห่งนี้ให้เป็นประโยชน์

“พวกมันแยกไปสองทาง” เสียงทหารคนหนึ่งดังขึ้นมาจากกองทหารที่ขี่ม้าไล่กวดทั้งสอง

นายทหารคนหนึ่งควบม้ามาถึงด้านหน้าลูกน้องทั้งหมดหันหน้ากล่าวสั่งการว่า “พวกเราแบ่งกันไปสองกลุ่ม พวกเจ้าสิบคนตามข้าไปทางรถม้า ส่วนพวกเจ้าที่เหลือตามอีกคนหนึ่งไปตามแนวป่า”

ลูกน้องทั้งยี่สิบกว่าคนรับคำเป็นเสียงเดียวกัน แยกเป็นสองขบวนเพื่อไล่ตามจับคนทั้งสองให้ได้ เพียงพิจารณาจากระเบียบวินัยก็ทราบว่าทหารเหล่านี้มิใช่ทหารเลวทั่วไป พวกเขาได้รับการฝึกเป็นอย่างดีถึงสามารถแบ่งกำลังเคลื่อนไหวได้คล่องตัวถึงเพียงนี้

สาเหตุที่พวกทหารยี่สิบกว่าคนไล่ตามจับคนทั้งสองอย่างหมายมั่นปั้นมือขนาดนี้เป็นเพราะหมายสั่งเรียกจับประกาศมาจากตึกผู้บังคับบัญชาในค่ายทหารโดยตรง ผู้จับได้จะมอบรางวัลนำจับเป็นเหรียญทองสิบเหรียญ เงินจำนวนนี้เพียงพอให้ผู้คนธรรมดาอยู่กินไปอย่างสบายได้ถึงสิบเดือนเต็ม

ม้าของทหารที่ไล่ติดตามมาบลูมาทางชายป่ากลับกลายเป็นเครื่องถ่วงความเร็วไป บลูที่ชาญฉลาดอาศัยเส้นทางที่รกทึบจนม้าไม่สามารถห้อตะบึงได้เต็มที่ เขาวางแผนระบุเส้นทางเดินป่ามาก่อนว่าทางใดสามารถไปได้สะดวก ถ้าหากเจอทหารม้าไล่ตามสมควรหลบหนีไปทิศทางใด

ทหารฝ่ายที่ไล่กวดบลูจึงแบ่งกำลังเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งต้องสละม้าติดตามเข้าไปในบัดดลโดยทิ้งให้ผู้หนึ่งดูแลม้าอยู่ที่ชายป่า อีกส่วนหนึ่งยังคงขี่ม้าควบไปตามริมชายป่าล่วงหน้า จากนั้นค่อยสละม้าตัดเข้าทางด้านข้างเพื่อไปดักหน้าเส้นทางหลบหนี ทหารกลุ่มนี้หมายกางตาข่ายหน้าหลังโอบล้อมจากทุกทิศทางปิดกั้นทางหนีของบลูให้สิ้น

บลูวิ่งตะบึงมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงติดต่อกันก็พบว่าชุดสีดำที่สวมคลุมทับเสื้อผ้าของตนเองมีรอยขาดวิ่นอยู่เป็นหย่อมๆ พละกำลังก็ร่อยหรอลงไปทุกทีจึงจำเป็นต้องนั่งพักสักครู่คิดหาทางหลบหนีสืบต่อ เวลาผ่านไปไม่นานนักบลูก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงฝีเท้าทหารราวห้าหกคนกำลังสืบหาร่องรอยของตนดังมาจากทางเบื้องหน้า

บลูใช้ความคิดกับตัวเองก็พบว่าตนอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด ทหารเบื้องหน้าขี่ม้ามาดักรอเขาอยู่ก่อน ในขณะที่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งตะบึงเพื่อสลัดทหารที่ตามมาจากด้านหลัง เขาแหงนหน้ามองพระจันทร์ก็โล่งใจไปหนึ่งส่วนเพราะว่าคืนนี้เป็นคืนแรม มีแสงจันทร์เพียงเบาบางเท่านั้นไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเขาได้ถนัด

บลูสงบสติสัมปชัญญะใช้ปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม ความจริงที่เห็นคือพบศัตรูตามมาสองกองหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง แต่ละกองมีทหารจำนวนห้าถึงหกคนโดยประมาณ กองทหารด้านหน้าเดินทางมาดักทางเขาไว้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ในละแวกนี้ ส่วนกองทหารที่ตามหลังยังเดินทางมาไม่ถึงแต่คาดว่าติดตามอยู่ห่างไม่เกินครึ่งชั่วโมง จากการประเมินโดยหยาบภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ศัตรูทั้งสองฝ่ายก็จะรวมตัวกันแล้วช่วยกันควานหาร่องรอยของเขา ข้อที่เขาได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวคือสภาพแวดล้อมที่ช่วยปิดบังร่องรอยของเขาไม่เปิดเผยออกไปในความมืดมิด แต่ถ้าฟ้าสางเมื่อไรนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

บลูพิจารณาถึงทางออกจากป่าแห่งนี้ก็พบว่ามีหลายทางที่เขาสามารถเลือกได้ว่าจะหนีไปทางใด ถ้าขึ้นเหนือจะกลับไปยังที่เดิมที่เขากระโดดลงจากรถม้าซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทางทิศตะวันออกติดแนวภูเขาชันเขาก็ไม่มีความสามารถปีนข้ามภูเขาสูงขนาดนั้นได้ ทางทิศตะวันตกจะไปยังแนวสะพานข้ามแม่น้ำเจนีสที่มีทหารตรวจตราอยู่อย่างหนัก ขนาดเนสขี่ม้าไปยังไม่แน่ว่าจะรอดถ้าเขาเดินเท้าไปรับรองได้ว่าไม่มีทางรอด ทางสุดท้ายคือทิศใต้ที่เป็นแม่น้ำข้ามไปยังลาเวนดิส ทางออกที่เป็นไปได้ของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือสะพานไม้ในป่าที่จะข้ามไปยังลาเวนดิส

จุดนั้นเป็นจุดที่ล่อแหลม พวกทหารจะต้องวางกำลังทหารเอาไว้สกัดจับเขาอย่างแน่นอน ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือฝ่าด่านออกไป

ขณะนี้ห่างจากเวลาฟ้าสาวราวสี่ชั่วโมง พอคิดได้เช่นนี้บลูจึงตัดสินใจกับตนเองว่าจะอาศัยเวลาช่วงนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พักผ่อนให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ เมื่อเขาอยู่นิ่งเฉยพักร่างกายแต่ศัตรูจะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการตามล่าเขา อีกสามชั่วโมงให้หลังเขาจะต้องบุกทะลวงแนวป้องกันที่สะพานเพื่อไปยังลาเวนดิสให้ได้

ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาใกล้ฟ้าสางซึ่งผู้คนทั่วไปจะเหน็ดเหนื่อยถึงที่สุด คลายการระวังป้องกันบางส่วนอีกทั้งไม่มีแสงตะวันช่วยสาดส่องทำให้เขาสามารถชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ นี่เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่คราหนึ่ง พอคิดได้เช่นนั้นจึงหลบซ่อนในโพรงต้นไม้ใหญ่หากอหญ้ามาปิดปากโพรงให้มิดชิดแล้วหลับไป

ลูทเก็บของทั้งหมดที่ต้องใช้กับการเดินทางครั้งนี้ลงกระเป๋าสัมภาระของเขา การเดินทางครั้งนี้อาจจะใช้เวลาแรมปีทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ต่อบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย บ้านที่เขาเกิดและเติบโตมาตั้งแต่เล็ก

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่จะต้องเดินทางคนเดียวเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเดินทางมาก่อน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาจะไปกับเพื่อนสนิทของเขาอีกคนหนึ่งที่ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ดาธด้วยกันหรือไม่ก็จะออกป่าไปล่าสัตว์กับพ่อในฐานะพรานผู้ช่วย

การร่ำเรียนจากอาจารย์ดาธก็แปลกกว่าที่อื่น เป็นที่รู้กันในหมู่นักเรียนทั้งสองคนว่าฝีมือของอาจารย์จัดอยู่ในระดับขั้นลึกล้ำสุดหยั่งคาด

วิธีการสอนของอาจารย์จะไม่เหมือนครูคนอื่น เขาจะยึดลูกศิษย์เป็นหลักไม่ถ่ายทอดวิชาที่เหมือนกันให้กับลูกศิษย์ทั้งสอง แต่ใช้ความรู้ของอาจารย์เลือกวิชาที่คิดว่าเหมาะกับศิษย์ของตนขึ้นมาแล้วสอนแต่วิชาพวกนั้น ลูกศิษย์ที่ออกมาจะไม่มีทางเป็นดาธคนที่สองหรือฝึกวิชาประจำสำนักเหมือนๆกันทุกคน เขาเว้นทางเดินไว้ให้ศิษย์ของเขาค้นหาและพัฒนาตนเองในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นเส้นทางที่จะต้องไขว่คว้าหามาด้วยตัวของลูกศิษย์เขาเอง แต่สิ่งที่ดาธมอบให้แก่ศิษย์จะเป็นสิ่งที่เขามั่นใจว่าศิษย์ของเขาจะใช้ประโยชน์จากมัน เพื่อจะให้ค้นหาทางเดินในฝันของศิษย์แต่ละคนพบ

ลูทร่ำเรียนวิชาในหมวดการประดิษฐ์และดนตรีการจากอาจารย์ดาธมากึ่งหนึ่ง ที่เหลืออาจารย์บอกให้เขาไปค้นหาและบัญญัติขึ้นเอง ศาสตร์ทั้งสองนี้จะเป็นศิลปะมากกว่าเป็นข้อกำหนดตายตัว ดาธเพียงแค่สอนพื้นฐานและวิธีการประยุกต์ให้ลูทเท่านั้น ซึ่งลูทเองก็รักวิชาพวกนี้มากกว่าการต่อสู้หรือศาสตร์แห่งเอลทั้งหลายที่เขาไม่ใคร่จะสนใจสักเท่าไร

ลูทจัดสัมภาระและใช้ความคิดกับตนเองจนเกือบฟ้าสางจนในที่สุดก็คิดได้ว่าต้องพักผ่อนให้เต็มตาสักครั้งหนึ่งไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเขาคงจะออกเดินทางพร้อมกับพ่อไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงดับตะเกียงลงแล้วเข้านอน

บลูลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี หลังจากที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามชั่วโมง

เขารู้สึกคึกคักขึ้นอักโข กำลังวังชาต่างๆฟื้นฟูมาอยู่ในระดับที่สมบูรณ์มากกว่าเขาคาดไว้ จากบทเรียนที่เขาได้ร่ำเรียนเรื่องการนอนหลับในสนามรบเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักรบหลายต่อหลายคนรอดชีวิตมาได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

หลังจากที่บลูตื่นขึ้นเขาก็ทำการสำรวจพื้นที่รอบด้านต้นไม้ บลูมองลอดออกไปตามรูที่เปลือกไม้พบว่าทหารหลายคนแยกย้ายกันค้นหาเขาอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ท่าทางการเดินบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากการไม่ได้พักผ่อนเป็นระยะเวลานาน เขาเห็นดังนั้นจึงกำหนดแผนการคร่าวๆในใจ หลังจากที่เขามุดออกไปจากต้นไม้จะซอกซอนไปตามช่องว่างของทหารทางทิศใต้เพื่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ

เมื่อบลูเล็ดรอดออกไปถึงริมน้ำได้สำเร็จ สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้ มีทหารสี่คนรักษาการณ์อยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำอย่างเข้มงวด สกัดกั้นทางหนีออกนอกอาณาจักรเพียงทางเดียวของเขา ทหารด้านหลังสองคนถือหน้าไม้เป็นอาวุธทำหน้าที่มองสอดส่องไปยังลำน้ำทั้งสองฟาก ถ้าพบเห็นสิ่งผิดปกติจะยิงลูกศรออกไปในบัดดล

ถึงแม้ว่าแม่น้ำเจนิสจุดนี้เป็นจุดที่แคบที่สุด มนุษย์ก็ไม่สามารถจะดำน้ำข้ามไปได้ในอึดใจเดียว ขอเพียงแค่โผล่หัวออกมาเพื่อเปลี่ยนลมหายใจก็จะถูกทหารที่ถือหน้าไม้ทั้งสองรุมยิงจนเป็นเม่นทะเลตัวหนึ่งไป

บลูจึงต้องใช้อุบายเพื่อหลอกล่อทหารกลุ่มนี้ แทนการบุกฝ่าไปอย่างหักโหม เขาซ่อนตัวอยู่ตามพงหญ้าริมตลิ่งศึกษาสภาพแวดล้อมโดยรอบ กำหนดแผนการขึ้นในใจเป็นมั่นเหมาะ

บลูเป็นผู้ชำนาญการใช้ศาสตร์แห่งเอลคนหนึ่งซึ่งสามารถใช้มันสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกลวงศัตรูได้ เมื่อศัตรูมุ่งความสนใจไปยังต้นเพลิงที่เขาเสกขึ้นจากนั้นก็จะถึงเวลาที่เขาบุกไปหักด่านสะพานด่านนี้ เขาจะใช้ความรวดเร็วและความมืดสยบทหารที่ขัดขวางไว้ก่อนที่จะรู้ตัว จากนั้นหนีเข้าป่าฝั่งลาเวนดิสไปสมทบกับเนสที่เมืองเจนิสใต้

เอลเป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของยุคนี้ แบ่งเป็นสองแขนงใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ชนิดแรกเป็นการศึกษาถึงการใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นหรือเอลที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายคนเรา ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดแรกนี้เรียกว่าเอลลิส พวกเขาสามารถดึงพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเอล ทำให้ก่อกำเนิดเป็นพลังงานได้ราวกับเป็นคาถาอาคมชนิดหนึ่ง บลูเป็นหนึ่งในบุคคลจำพวกนี้

ชนิดที่สองเป็นการใช้พลังงานเอลที่อัดแน่นอยู่ในแร่ชนิดพิเศษที่เรียกว่าเอลไลท์ แร่ชนิดนี้เป็นแร่ชนิดพิเศษที่ถูกค้นพบและนำมาใช้พัฒนาบ้านเมืองให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองเพราะเป็นสสารที่ให้พลังงานได้สูง ผู้ที่ศึกษาเอลชนิดที่สองนี้เรียกว่าเอลเทค พวกเขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยโดยการใช้พลังงานจากแร่เอลไลท์เป็นพื้นฐาน

ขณะที่บลูกำลังจะร่ายเอลที่สี่ซึ่งเป็นเอลแห่งไฟเพื่อล่อลวงศัตรูก็ฉุกคิดว่า ถ้าไฟไหม้ป่านี้ไปแล้วควบคุมไม่ได้ อันตรายก็อาจจะมาสู่ตัวเขาหรือผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้ จึงเปลี่ยนใจร่ายเอลที่หนึ่งซึ่งเป็นเอลแห่งดินแทน เหงื่อเม็ดโป้งๆไหลออกจากหน้าผากเขาด้วยความตื่นเต้น เขาจะกระทำสิ่งผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของเขา

“พสุธากัมปนาท!” พอสิ้นเสียงที่บลูกล่าว ก็เกิดวงแหวนสีเหลืองที่พื้นดินที่บลูกำหนดทิศทางของเอลที่ร่ายไว้ จากนั้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ตูม! พื้นดินใต้ต้นไม้ยุบลงไปแถบหนึ่ง ต้นไม้สามสี่ต้นทยอยกันหักโค่นลงมา ทหารทั้งหมดที่กำลังเดินหาร่องรอยของบลูร้องอุทานขึ้นกันยกใหญ่ ทหารในป่าบางส่วนวิ่งกรูกันเข้าไปตรวจสอบว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ส่วนทหารสี่คนที่คุมสะพานอยู่ก็มีทหารคนหนึ่งเดินลงจากสะพานรุดไปดูสถานที่เกิดเหตุ

วินาทีนั้นสำคัญยิ่งกว่าเพชรทอง บลูวิ่งไปยังสะพานแข่งกับนาทีทองอันล้ำค่าดั่งลูกศรหลุดจากแหล่ง เขาใช้มือซ้ายหยิบหอกสั้นที่สะพายไว้กลางหลังขึ้นมาถือมั่น เมื่อบลูกดปุ่มกลไกที่ด้านข้างด้ามหอก ด้ามหอกอีกครึ่งหนึ่งที่ซ่อนไว้ภายในจะถูกปลดล็อคทำให้ยืดออกมา กลายเป็นหอกยาวที่มีความยาวเกือบเท่าความสูงของเขา ส่วนมือขวาปรากฏแสงสีฟ้าเรืองรองเปล่งประกายในความมืด เขาวิ่งตรงเข้าไปยังสะพานราวกับเป็นดาวหางสีน้ำเงินดวงหนึ่ง

ทหารบนสะพานทั้งสามพบเหตุเปลี่ยนแปลง ด้วยความที่เป็นมือชั้นดีก็ยังรักษาความเยือกเย็นบางส่วนไว้ได้ ทหารคนทางซ้ายซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยกดปุ่มยิงศรออกไปจากหน้าไม้ที่ถืออยู่ ตะโกนบอกเพื่อนพ้องว่า “ระวังเอล” แต่หน้าไม้ทิ่ยิงด้วยความฉุกละหุกใส่ศัตรูเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้สูญเสียความแม่นยำไปมาก ลูกศรที่ยิงออกไปจึงพลาดเป้าไปกว่าหนึ่งเมตร

ทหารคนทางขวาที่ถือหน้าไม้อีกคนถูกบลูพุ่งเข้าประชิดตัวในทันควัน เขายังไม่ทันจะยิงหน้าไม้ตอบโต้ก็ถูกชนเสียจังหวะไป ทหารคนกลางที่ไม่ได้ถือหน้าไม้เห็นดังนั้นจึงใช้ดาบในมือฟาดฟันเข้ามาช่วยเพื่อนที่กำลังถูกบลูคุกคาม ทำให้บลูต้องเอามือซ้ายที่ถือหอกปาดไปยังทหารคนกลางเพื่อตั้งรับ เสียงหอกและดาบปะทะกันทหารคนกลางถูกแรงปะทะจากการวิ่งของบลูทำให้สูญเสียการทรงตัวต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่

“กระสุนวารี” ปรากฏเป็นแสงสีฟ้าขึ้นที่ฝ่ามือของบลู ชี้ไปยังทหารด้านขวาที่ถูกบลูเข้าประชิดตัว กระสุนน้ำพุ่งออกมาจากมือกระแทกทั้งคนทั้งหน้าไม้ตกน้ำไปในทันที หัวหน้าหน่วยทหารที่ยิงหน้าไม้พลาดเห็นดังนั้นจึงชักดาบของตนออกมาพร้อมกับกู่ร้องเสียงดัง ฟันดาบไปยังบลูอย่างถนัดถนี่

บลูเห็นว่าถ้าถูกพัวพันไว้อีกซักระยะหนึ่ง แล้วปล่อยให้ทหารที่รุดหน้าไปสำรวจดินถล่มกลับมาพบเห็นตนเองละก็วันนี้ของปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเขา บลูจึงฝืนใจใช้หอกต้านรับดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรง จะอย่างไรก็ตามความถนัดของบลูคือวิชาเอลไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว

เสียงโลหะทั้งสองกระทบกันดังปัง ดาบที่ฟันมาอย่างสุดแรงทำให้บลูเลือดลมพลุ่งพล่านข้อมือซ้ายชาไประยะหนึ่ง ทหารที่โดนบลูปัดเซไปตอนแรกก็พอจะตั้งตัวได้จึงรุดมาช่วยหัวหน้าหน่วยของตน ทหารทั้งสองฉวยโอกาสนี้ใช้ดาบสกัดกั้นบลูเป็นพัลวัน ทันใดนั้นมีแสงสีเขียวเรืองรองจากแนวดินถล่มพบว่ามีทหารฝั่งตรงข้ามคนหนึ่งร่ายเอลที่สามเล็งเป้าหมายมาที่เขา

ทหารทั้งสองที่พัวพันบลูอยู่เห็นดังนั้นจึงเกิดกำลังใจขึ้นร่วมใจฟันดาบไปสกัดกั้นบลูด้านหน้าปิดสกัดทางข้ามสะพานเบื้องหน้า บังคับให้บลูถอยหลังกลับไปหรือไม่ก็ต้องปะทะกับกระแสลมจากเอลที่ซัดเข้ามา

เบื้องหน้าคือคมดาบที่ฟันออกสุดแรงทั้งสอง ด้านข้างมีกระแสลมจากเอลที่รุนแรงเตรียมจะเข้ามากระแทกเขาในอีกไม่กี่วินาที ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งถ้าเขาโดนเข้าไปรับรองไม่มีชีวิตรอดไปจากสะพานแห่งนี้ ด้านหลังเหมือนจะเป็นทางหนีเพียงหนึ่งเดียวแต่ถ้าเขาพลาดโอกาสหลบหนีนี้ไปเลือกหนทางด้านหลังถอยไปตั้งหลักใหม่ สถานการณ์ที่เขาลงทุนทั้งแรงกายและปัญญาขบคิดเพื่อสร้างความมีเปรียบก็จะสูญสลายไป เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ทะลวงฝ่าออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นบลูเกิดปฏิภาณชั่ววูบหลั่งไหลผ่านเข้ามายังสมองของเขา

บลูใช้มือซ้ายตวัดหอกขวางรับท่าดาบทั้งสองจากเบื้องหน้าเอาไว้ นำส่วนบนของหอกปะทะกับคมดาบทั้งคู่ปล่อยให้เกิดแรงเหวี่ยงจากดาบถ่ายทอดเข้าสู่ตัวหอกมายังร่างกาย ส่วนมือขวานั้นเกิดเป็นแสงสีเขียวบลูใช้เอลประเภทเดียวกันเข้ารับกระแสลมที่กระแทกเข้ามาด้านข้าง

“วายุพัดพา” เกิดเสียงดังปังหนึ่งเมื่อกระแสลมจากมือขวาของเขากระแทกเข้ากับกระแสลมนั้น

ผลที่เกิดขึ้นคือบลูใช้กระแสลมจากฝ่ามือตนเองเปลี่ยนทิศลมของกระแสลมที่กระแทกเข้ามา ส่วนหอกที่รับเอาแรงเหวี่ยงที่หยิบยืมมาจากดาบทั้งสองก็เกิดการหนุนเสริมกันทำให้เขาลอยตัวข้ามทั้งคนทั้งสะพานไปอีกด้านหนึ่งอย่างไม่มีใครคาดฝันมาก่อน

“ขอบคุณที่รบกวนส่ง” ร่างของบลูปลิวไปสิบกว่าเมตรด้วยแรงลมที่หนุนเสริมกัน พลันหายลับเข้าป่าฝั่งตรงข้ามไป

หลังจากที่เดินวนอยู่ที่พื้นที่ละแวกนั้นเป็นระยะเวลานาน ลูทก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่าหรือว่าหมู่บ้านนี้มีอะไรปิดสกัดทางเข้าเอาไว้

เขาจึงใช้วิธีที่อาจารย์ดาธสอนโดยการเดินทำเครื่องหมายรอบๆ พื้นที่ที่น่าจะเป็นหมู่บ้าน แล้วเทียบกับรูปแบบการก่อสร้างค่ายกลเบื้องต้นที่เคยร่ำเรียนมา จากนั้นแล้วค่อยนึกหาหนทางแก้ไข

ตูม !

เสียงระเบิดดังขึ้นทางด้านเหนือ ลูทมองไปก็พบเห็นว่าเป็นแสงจากวงแหวนสีเหลืองของเอลที่หนึ่งสาดไปยังท้องฟ้าพร้อมกับเสียงล้มครืนของก้อนหินในแนวตีนเขา เขาเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดีดังนั้นจึงเปลี่ยนใจหยุดการค้นหาทางเข้าหมู่บ้านชั่วคราว แล้วมุ่งหน้าไปยังเสียงระเบิดทางทิศเหนือ

ดิน น้ำ ลม และไฟเป็นสี่เอลพื้นฐานที่เอลลิสใช้กันอยู่เป็นประจำ เอลที่หนึ่งคือดิน เอลที่สองคือน้ำ เอลที่สามคือลมและเอลที่สี่คือไฟ เวลาร่ายเอลจะปรากฏเป็นวงแหวนที่พื้นดินของเป้าหมายเปล่งสีแตกต่างกันตามชนิดของเอลคือเหลือง ฟ้า เขียวและแดงตามลำดับ ถ้าสีที่เห็นเป็นสีอ่อนและวงแหวนเป็นวงเล็กแสดงว่าเอลนั้นมีความรุนแรงไม่มากแต่ถ้าเห็นสีเอลเด่นชัดและพวยพุ่งเป็นรูปวงแหวนขึ้นสู่ฟ้าแสดงว่าเป็นเอลขั้นสูงที่มีความรุนแรงมากตามไปด้วย

แสงที่ลูทเห็นเป็นแสงสีค่อนข้างเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลางวงแหวนมีขนาดราวสิบเมตรจัดว่าเป็นเอลที่ถูกใช้จากเอลลิสที่ฝึกฝนจนถึงระดับปราชญ์เป็นอย่างต่ำ

หลังจากรุดไปเป็นเวลาสิบห้านาทีลูทก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เป็นเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขาจึงหันหลังกลับชักกระบี่เหล็กซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวที่เขานำติดตัวขึ้นมาป้องกัน

ร่างหญิงสาวคนหนึ่งออกมาจากดงไม้ด้านหลัง เธอมีผมสีทองอร่ามเป็นลอนสวยงาม นัยน์ตาสีอ่อนออกไปทางฟ้าและเขียวน้ำทะเลผสมกัน ผิวพรรณของเธอขาวเนียนและเปล่งปลั่งไปด้วยเลือดของหญิงสาว เค้าโครงใบหน้าของเธองดงามราวกับราชนิกูลสูงศักดิ์ คนทั่วไปขอเพียงสายตายังใช้การได้แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา เครื่องแต่งกายของเธอเป็นชุดรัดกุมที่เหมาะสำหรับการเดินทางในป่า ในมือทั้งสองกุมไว้ด้วยมีดสั้นข้างละหนึ่งเล่มซึ่งเป็นอาวุธป้องกันตัว

หญิงสาวคนนั้นมองมาที่ลูทถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไว้วางใจว่า “เจ้าเป็นใคร”

ลูทเหมือนตกอยู่ในภวังค์สักพักหนึ่ง มองดูหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับนึกในใจว่า ให้ตายเถอะ ผู้หญิงที่สวยปานนี้อย่าว่าแต่ในเมืองยังไม่ค่อยพบเห็นกลับมาเจอในป่าเสียนี่ จากนั้นค่อยรู้สึกตัวขึ้นได้จึงตอบไปว่า “ข้าชื่อลูท เป็นคนเดินทางผ่านมาเพื่อจะหาหมู่บ้านละแวกนี้”

หญิงสาวเห็นลูทมีทีท่าลังเลไปขณะหนึ่งจึงเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เธอคิดว่าสิ่งที่ลูทตอบมาอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้ ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะต่อเพื่อค้นหาความจริง มีเสียงปะทะของอาวุธดังขึ้นมาจากทางทิศเหนือแล้วก็มีชายคนหนึ่งพุ่งร่างออกมาจากดงไม้ ม้วนกลิ้งออกมาล้มอยู่เบื้องหน้าลูท เขาเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำเงินคนนั้นนั่นเองซึ่งหนีกองหนุนของฝั่งตรงข้ามมาอย่างหัวซุกหัวซุน

“บลู!” ลูทตะโกนเสียงดังเมื่อพบพานสหายเก่า

เสียงเรียกชื่อธรรมดาในครั้งนี้สำหรับบลูเปรียบเสมือนกับคนหลงทางในทะเลทรายพลันพบแหล่งน้ำอยู่เบื้องหน้า

รายละเอียดของผู้ประพันธ์

ผู้ประพันธ์
เปิดรับความคิดเห็นของผู้อ่านทุกท่าน ผ่านการติชมในบล็อคแห่งนี้ ผ่านทางอีเมล legend.of.el@gmail.com ครับ

ตำนานแห่งเอลตอนก่อนหน้านี้

Stats

Web Counter
Free Counter